14 ก.ค. เวลา 02:30 • บันเทิง

อมิตา ‘ทาทา’ ยัง สาวน้อยมหัศจรรย์ที่ทรงอิทธิพลในเอเชียยุค 2000s

“ดูม มาจาเล่ ดูม มาจาเล่ ดูม” เชื่อเถอะว่ามีคนไม่น้อยที่อ่านประโยคดังกล่าวแล้วมีทำนองออกมา โดยเพลงประกอบภาพยนตร์จากบอลลีวูดเพลงนี้เรียกได้ว่าเป็นเพลงที่ดังและฮิตติดชาร์ตอันดับ 1 ในเอเชียหลายต่อหลายสัปดาห์ในช่วง 2000s และผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกคุ้นหูกับเพลงนี้ถึงแม้ว่าจะเกิดไม่ทันหรือไม่เคยฟังก็ตาม (ยกตัวอย่างเช่นผู้เขียนบทความฉบับนี้)
แต่รู้กันไหมว่าเพลงสุดฮิตนี้เป็นเพลงที่ร้องโดยนักร้องสาวชาวไทยที่ได้ชื่อว่าดังเป็นอันดับต้น ๆ ในเอเชียยุค 2000s เลยทีเดียว โดย Bnomics ในสัปดาห์นี้จะพาไปรู้จักกับคนในอุตสาหกรรมดนตรีของไทยอีกคนหนึ่งที่ก้าวไปสู่ระดับอินเตอร์จนเคยได้รับการกล่าวขวัญจากสื่อเอเชียหลายเจ้าให้เป็น “ราชินีเพลงป็อปแห่งเอเชีย” อย่าง “อมิตา ‘ทาทา’ ยัง”
ทาทา ยัง เป็นเด็กสาวลูกครึ่งไทย-อเมริกันที่ฉายแววทางด้านการร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก โดยเมื่ออายุได้ 11 ปีเธอก็คว้ารางวัลนักร้องยุวชนยอดเยี่ยมจากเวทีประกวด นิสสัน อวอร์ ไทยแลนด์ จูเนียร์ ซิงกิ้งคอนเทสต์ ซึ่งการประกวดในครั้งนั้นทำให้ทางยามาฮ่ามิวสิคเห็นแววและได้เซ็นสัญญามาเป็นนักรองในค่ายก่อนที่ในภายหลังจะได้เซ็นสัญญาเข้าร่วมกับอีกหนึ่งค่ายเพลงที่ทรงอิทธิพลในไทยอีกเจ้าหนึ่งอย่า แกรมมี่ ในวัย 13 ปี
ในวัย 14 ปี ทาทา ยัง ได้ออกอัลบั้มแรกในชีวิตของตัวเองกับทางแกรมมี่ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จถล่มทลายด้วยภาพลักษณ์ของนักร้องรุ่นจิ๋ว พร้อม ๆ กับมียอดขายแตะล้านตลอดภายในเวลาเพียง 4 เดือนเท่านั้น โดยเพลงดัง ๆ ที่แม้แต่คนรุ่นใหม่ก็อาจจะู้สึกคุ้นหู ก็ยกตัวอย่างเช่นเพลง รบกวนมารักกัน เป็นต้น ซึ่งหลังจากอัมบั้มแรกประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น อัลบั้มที่ 2 ก็ตามมาโดยทำยอดแตะล้านตลับตามรอยอัลบั้มแรกไป และกลายเป็นนักร้องที่อายุน้อยที่สุดที่สามารถทำยอดได้สูงขนาดนี้ติดต่อกันถึงสองอัลบั้ม
ความสำเร็จของทาทา ยัง ทำให้เธอได้รับรางวัลมากมายตลอดจนเป็นเซเล็บวัยเยาว์ที่มีแฟนคลับมากมาย ลอดจนเริ่มงานในสายบันเทิงอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานแสดง ไปจนถึงงานนางแบบ ตลอดจนเริ่มที่จะระดับจากนักร้องในไทยไปยังต่างแดน โดยเคยมีคอนเสิร์ตในอเมริกา ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นศิลปินเอเชียไม่กี่คนในช่วงเวลานั้นที่สามารถก้าวไปถึงจุดนั้นได้ ตลอดจนได้รับเชิญในฐานะตัวแทนนักร้องไทยให้ไปร้องเพลงในประเทศต่าง ๆ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งผู้มีอิทธิพลในวงการบันเทิงของไทยตั้งแต่วัยเยาว์
ในปี 2543 ทาทายังเลือกที่จะไม่ต่อสัญญากับทางแกรมมี่ และไปเซ็นสัญญากับบีอีซีเทโรฯแทน ซึ่งตัวของทาทา ยัง วาดฝันเอาไว้ว่าเธอจะต้องไปเป็นนักร้องในระดับอินเตอร์แถวหน้าให้ได้ ซึ่งการที่เธอไม่ต่อสัญญากับแกรมมี่นี่เองก็ได้ทำให้เกิดกระแสแอนตี้บนโลกอินเทอร์เน็ตขึ้นอยู่ไม่น้อยเป็นธรรมดาของไอดอลทั่วไป มีคนรักย่อมมีคนชัง
หลังจากที่ทาทา ยังเป็นนักร้องในค่ายบีอีซีเทโรสักระยะหนึ่ง ความโด่งดังของเธอก็ได้เป็นที่ต้องตาของโซนี่ มิวสิคจนถูกชวนให้เข้าร่วมกับค่ายเพลงใหญ่ในเครือโซนี่จากฝั่งอเมริกาอย่างค่ายโคลอมเบียเรกคอร์ด ทำให้เธอเป็นศิลปินหญิงชาวเอเชียคนแรกของค่าย พร้อม ๆ กับออกเพลงและอัลบั้มภาษาอังกฤษซึ่งมีผู้ฟังทั่วทั้งเอเชียและทำยอดขายไปได้ล้านกว่าชุด โดยนับตั้งแต่เดินบนเส้นทางสายศิลปินมา ทาทา ยัง สามารถสร้างรายได้มากกว่า 800 ล้านบาท และมียอดขายกว่า 14 ล้านชุด
อย่างไรก็ดี ถึงแม้จะประสบความสำเร็จมากในระดับเอเชีย แต่ด้วยปัญหาทางสุขภาพทำให้เธอต้องล้มป่วยลงจากโรคไฮโปไทรอยด์ ตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งเป็นอุปสรรคต่ออาชีพของเธอไม่น้อย โดยไฮเปอร์ไทรอยด์ส่งผลต่อรูปร่างของเธอโดยตรง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงเดินทางบนเส้นทางดนตรีต่อ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นเหมือนแต่ก่อนแล้วก็ตาม
จากเรื่องราวความสำเร็จของ “ทาทา ยัง” เราจะเห็นถึงความกล้าหาญและความมั่นใจของทาทายังที่เลือกก้าวเดินออกมาจากพื้นที่ปลอดภัยพร้อมกับความฝันที่จะก้าวไปสู่ระดับสากลให้ได้ ตลอดจนเธอไขว่คว้าโอกาสต่าง ๆ ที่ถูกหยิบยื่นเข้ามาและพยายามทำมันให้ดีที่สุด ตลอดจนเชื่อมั่นในตัวเองว่าจะต้องทำได้ เราอาจจะกล่าวได้ว่าเพราะความกล้าที่จะแตกต่างและความมั่นใจในตัวเองนี่เองที่ทำให้เธอสามารถกลายเป็นอีกหนึ่งชาวไทยในอุตสาหกรรมดนตรีที่สามารถก้าวไปสู่เส้นทางของอุตสาหกรรมดนตรีระดับโลกได้
อ้างอิง:
โฆษณา