หากใส่บาตรพระสงฆ์แต่ท่านไม่ได้ฉันอาหารที่เราใส่บาตรไป จะได้บุญไหม ?

โยมถาม : หากใส่บาตรพระสงฆ์แต่ท่านไม่ได้ฉันอาหารที่เราใส่บาตรไป ทั้งคนที่ตักบาตรและผู้ล่วงลับจะได้รับบุญกุศลนั้นหรือไม่ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาได้รับบุญในส่วนนี้แล้ว
พระอาจารย์ตอบ :
เมื่อเราถวายทานขาดจากใจบุญย่อมเกิดแล้ว ความจริงคือบุญเกิดตั้งแต่ที่เราเริ่มตั้งใจถวายทานด้วยซ้ำไป เช่น เราตั้งใจไว้ล่วงหน้าว่าเราจะไปใส่บาตรพระในวันเกิดที่ใกล้จะถึงนี้
พอเราเริ่มคิดวางแผนมโนกรรมเกิด บุญเกิดแล้ว พอเราลงมือจัดเตรียมหาอาหารบุญก็เกิดอีกแล้ว ถึงคราวเราได้พบพระสงฆ์ถวายภัตตราหารท่านบุญเกิดแล้ว อย่างนี้ไม่ใช่แค่มโนกรรมแต่เป็นกายกรรม ขณะที่เรากล่าวคำกราบนิมนต์พระสงฆ์มารับบาตรก็เกิดวจีกรรม ครบหมดทั้งมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม บุญเกิดกับเราเรียบร้อยแล้ว
ส่วนการที่พระท่านจะนำภัตตราหารไปขบฉันด้วยตนเอง หรือท่านรับบิณฑบาตมาแล้วจะแบ่งปันแจกจ่ายให้ศิษย์และบุคคลอื่นนั้นเป็นส่วนของท่าน สำคัญที่บุญเกิดขึ้นกับเราเรียบร้อยแล้ว
เมื่อบุญเกิดกับเราแล้ว เราจะอุทิศให้ผู้ใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของเรา ส่วนเราจะรู้ได้อย่างไรว่าบุญนั้นจะไปถึงผู้ล่วงลับหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ล่วงลับไปแล้วนั้นเขาไปอยู่ที่ใด ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ หรือไปเป็นเปรตอยู่ในนรก
หากเขาไปตกนรกขุมบริวาร คือ ยมโลก บุญก็จะถูกส่งไปถึงเขา แต่ถ้าเขาไปตกมหานรก นรกขุมหลัก บุญจะส่งไปไม่ถึง แต่บุญนั้นจะไปรออยู่ เมื่อใดที่เขาพ้นกรรมจากมหานรกแล้วกลับมาสู่ยมโลก บุญนั้นจะได้ช่องส่งถึงเขาทันที
ดังนั้น เราอุทิศบุญกุศลให้ผู้ล่วงลับไปแล้วก็จะเกิดประโยชน์ขึ้นแก่เขาอย่างแน่นอน โดยอันดับแรกเกิดประโยชน์กับเราผู้ทำบุญก่อนเลย พอเราทำบุญ เราได้บุญ เราอุทิศส่วนกุศลไปให้ใคร บุญเราก็ไม่ได้หมดไป แต่กลับยังได้บุญเพิ่มขึ้นจากการอุทิศส่วนกุศลนั้นด้วย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การอุทิศส่วนกุศลเป็นทางมาแห่งบุญอย่างหนึ่ง คือ “ปัตติทานมัย” แปลว่า “บุญสำเร็จด้วยการอุทิศส่วนกุศล”
อธิบายโดยละเอียด คือ บุญที่เราทำไว้ก็เกิดบุญส่วนหนึ่งแล้ว พอเรานึกจะอุทิศส่วนกุศล จิตเป็นกุศล อุทิศไปแล้ว นอกจากบุญจะไม่หมดไป ยังเพิ่มขึ้นจากปัตติทานมัยอีกส่วนนึงด้วย เสมือนเราจุดเทียน เทียนของเราสว่างไสว พอเรานำเทียนนั้นไปจุดต่อให้เทียนคนอื่น เทียนเราไม่ได้ดับมืดลง แต่เราได้ส่งต่อความสว่างไสวของเทียน พอเทียนเล่มอื่นๆ ถูกจุดติดมากขึ้น ก็ทำให้พื้นที่แห่งนั้นสว่างไสวกว่าเดิม
เพราะฉะนั้น เราทำบุญตักบาตรแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับไปแล้วเขาย่อมได้รับบุญนั้น แต่จะได้รับเมื่อใดขึ้นอยู่ที่เขาอยู่ในภาวะเหมาะสมที่จะได้รับบุญนั้นหรือไม่เท่านั้นเอง
เมื่อใดที่ลงมหานรก บุญยังต้องรออยู่ก่อน เมื่อใดที่ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่ในกายหยาบ บุญจะยังส่งไปไม่ถึง แต่ถ้าพ้นจากสภาวะกายของสัตว์เดรัจฉานแล้วไปเกิดใหม่ จังหวะนั้นบุญจะได้ช่องส่งถึงทันที หรือหากในขณะนั้นเขาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว เขาจะไม่ได้รับบุญนั้น เพราะมนุษย์จะได้รับบุญก็ต่อเมื่อเราไปแจ้งให้เขารับรู้ แล้วเขาอนุโมทนา เขาจึงจะได้รับบุญด้วย
เจริญพร.
โฆษณา