15 ก.ค. เวลา 05:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ส่องผลประกอบการ 7 หุ้นนางฟ้า ใครจะได้ไปต่อในยุค AI ครองโลก

แม้ว่า The Magnificent Seven หรือหุ้นของ 7 บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้แก่ Amazon, Alphabet, Apple, Meta, Microsoft, Nvidia และ Tesla จะเติบโตอย่างมากในปี 2023 ที่ผ่านมา แต่คำถามที่ว่า “7 หุ้นนางฟ้ายังน่าลงทุนไหมในตอนนี้ ?” ก็เกิดขึ้นตลอดเวลาเช่นกัน บทความนี้ BBLAM สรุปผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2024 ของ 7 บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ รวมถึงโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ
1. NVIDIA บริษัทผู้ผลิตชิปประมวลผล GPU
รายได้และกำไรของ NVIDIA เติบโตอย่างมากจากกระแสของปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) โดยผลประกอบการไตรมาสแรกประจำปี 2024 มีรายได้อยู่ที่ 26,044 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 262% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา ในขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 14,881 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พุ่งขึ้นทะลุ 628% ทำให้กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 5.98 ดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดิม 0.82 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 629%
ทั้งนี้ รายได้ส่วนใหญ่ของ NVIDIA มาจากธุรกิจ Data Center จำนวน 22,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 427% จากความต้องการชิป โดยเฉพาะ Blackwell ซึ่งเป็นชิปสำหรับ AI รุ่นใหม่ล่าสุด
นอกจากการประกาศผลประกอบการแล้ว NVIDIA ยังมีการแตกพาร์หุ้นและเพิ่มเงินปันผล ซึ่งเป็นสัญญาณความมั่นคงของบริษัทอีกด้วย
แน่นอนว่า NVIDIA จะไม่หยุดอยู่แค่การขายชิปและธุรกิจ Data Center ปัจจุบัน ได้มีการขยายความร่วมมือกับธุรกิจในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ เช่น AWS, Google Cloud, Microsoft และ Oracle เพื่อพัฒนา Generative AI รวมถึงขยายความร่วมมือไปยังอุตสาหกรรม Healthcare เช่น Johnson & Johnson MedTech ในการนำความสามารถของ AI ไปใช้ในการสนับสนุนการผ่าตัดอีกด้วย
2. Alphabet บริษัทแม่ของ Google
ผลประกอบการไตรมาสแรกประจำปี 2024 บริษัทแม่ของ Google กลับมาทำรายได้และผลกำไรอีกครั้งจากผลิตภัณฑ์โฆษณาบน Google และ YouTube จำนวน 80,539 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา และมีผลกำไร 23,662 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 57.22%
แต่สิ่งที่สร้างเสียงฮือฮาให้กับผู้ถือหุ้นและนักลงทุนมากที่สุด คือการประกาศการจ่ายเงินปันผลครั้งแรกของ Alphabet รวมถึงการเปิดตัว Gemini 1.5 Flash และ Gemini 1.5 Pro ปัญญาประดิษญ์ตัวใหม่ที่มีความสามารถในการสรุปการสนทนา จับภาพและวิดีโอ เขียนคำบรรยาย และดึงข้อมูลจากเอกสารขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งสะท้อนประสิทธิภาพในการประมวลผลข้อมูลที่มากยิ่งขึ้น
3. Microsoft ผู้นำการพัฒนา AI
เมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา Microsoft ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยมูลค่าตลาดที่พุ่งขึ้นทะลุ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นครั้งแรก โดยได้รับแรงหนุนจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนในการที่บริษัทเข้าลงทุนใน AI ซึ่งสอดคล้องกับผลประกอบการไตรมาสแรกประจำปี 2024 ที่บริษัทมีรายได้รวมประมาณ 61,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 17% จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 21,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้
ทั้งนี้ รายได้ส่วนใหญ่ของ Microsoft มาจากธุรกิจ Intelligent Cloud ที่เพิ่มขึ้น 21% ส่วน Azure และผลิตภัณฑ์ Cloud อื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้น 31% ในขณะที่ธุรกิจซอฟต์แวร์และฮารด์แวร์สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนตัว เช่น Xbox และ Windows เพิ่มขึ้น 62% เช่นกัน ทางด้านกำไรต่อหุ้นก็มีการเพิ่มขึ้นอีก 20% รวมถึงมีการประกาศซื้อหุ้นคืนและจ่ายเงินปันผลมูลค่ารวม 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นอีกภายหลังการประกาศผลประกอบการ
4. Amazon ผู้นำโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ระดับโลก
ผลประกอบการไตรมาสแรกประจำปี 2024 ของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซอย่าง Amazon มียอดขายสุทธิเพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน อยู่ที่ระดับ 143,313 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีกำไรสุทธิ 10,431 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่ AWS ผู้นำโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ระดับโลกของ Amazon มีรายได้เพิ่มขึ้น 17% เป็น 25,037 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และหากนับเฉพาะธุรกิจนี้ก็นับว่ามีกำไรเพิ่มขึ้นถึง 9,421 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว
โดยสิ่งที่สนับสนุนการเติบโตด้านรายได้และกำไรของ Amazon มาจากการปรับลดต้นทุน ความต้องการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ และธุรกิจโฆษณา ซึ่งนับเป็นหนึ่งในธุรกิจของ Amazon ที่มีการเติบโตอย่างมากมาโดยตลอด และผลประกอบการไตรมาสแรกประจำปี 2024 เฉพาะธุรกิจโฆษณาสามารถทำรายได้ 11,824 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 24%
5. Meta บริษัทแม่ของ Facebook
แม้ว่าผลประกอบการไตรมาสแรกประจำปี 2024 ของ Meta จะมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนอยู่ที่ 36,455 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 117% อยู่ที่ 12,369 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการนำ AI มาใช้ในผลิตภัณฑ์ รวมถึงการเปิดตัว Meta AI ด้วยโมเดล Llama 3 แต่การประกาศเพิ่มการลงทุนด้าน AI มากขึ้นในปีนี้ ซึ่งจะใช้เงินลงทุนเพิ่มขึ้นจากแผนเดิมเมื่อต้นปี 2024 และจะมากขึ้นอีกในปีถัดไป ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความกังวลจนทำให้ราคาหุ้นปรับลดลงภายหลังการประกาศผลประกอบการ
สำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียภายใต้การดูแลของ Meta นั้น ปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้งานรวมเป็นประจำทุกวัน (DAP) เพิ่มขึ้น 7% เป็น 3,240 ล้านคน มียอด Impressions ของโฆษณาเพิ่มขึ้น 20% และราคาเฉลี่ยต่อโฆษณา (Ad) เพิ่มขึ้น 6% ทำให้มั่นใจได้ว่าแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของบริษัท ยังคงสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ
6. Tesla เจ้าแห่งยานยนต์ไฟฟ้า
ผลประกอบการไตรมาสแรกประจำปี 2024 ของ Tesla ไม่ได้ออกมาน่าประทับใจเหมือนกับบริษัทในกลุ่ม The Magnificent Seven ก่อนหน้านี้ โดยบริษัทมีรายได้รวม 21,301 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 9% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 1,129 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 55% โดย Tesla อธิบายว่ารายได้ที่ลดลงมาจากจำนวนรถส่งมอบที่ลดลง ในขณะที่กำไรลดลงเนื่องจากมีการลดราคารถยนต์ และการลงทุนด้าน AI มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสงครามราคายานยนต์ไฟฟ้าจะทำให้กำไรลดลงไปบ้างในช่วงนี้ แต่ Tesla ยืนยันว่าพวกเขามีแผนการลงทุนในยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการเติบโตในอนาคต และมีแผนผลิตโมเดลใหม่ที่ราคาถูกลงในปี 2025 ซึ่งใช้สายการผลิตเดียวกับโมเดลปัจจุบัน ทำให้ต้นทุนไม่เพิ่มขึ้น
7. Apple ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนขายดีของโลก
ผลประกอบการไตรมาสแรกประจำปี 2024 ซึ่งตรงกับไตรมาสที่ 2 ตามปีงบการเงินของ Apple ผู้ผลิตสมาร์ตโฟน iPhone ต้องประสบกับยอดขายที่ลดลง 10% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากรัฐบาลจีนออกประกาศห้ามหน่วยงานรัฐใช้สมาร์ตโฟนแบรนด์ต่างชาติ ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคทั่วโลกต่างยอมรับเทคโนโลยีของแบรนด์จีนมากขึ้น สมาร์ตโฟนจากแดนมังกรจึงกลายเป็นทางเลือกที่ประหยัดเงินมากกว่า
นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของ Apple ก็มียอดขายลดลงเช่นกัน เช่น iPad ลดลง 17% สินค้ากลุ่ม Wearables, Home และ Accessories ลดลง 10% ส่วนยอดขายของ Mac มีการปรับเพิ่มขึ้น 4% ซึ่งการที่ยอดขายของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ลดลงนั้น หลายฝ่ายมองว่าเทคโนโลยีของ Apple ไม่ได้มีความน่าตื่นเต้นเหมือนกับเมื่อก่อน และยังตามหลังหลายบริษัทในเรื่องของ AI
สำหรับรายได้รวมในไตรมาสที่ 2 ตามปีงบการเงินของ Apple อยู่ที่ 90,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 4% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 23,636 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นการลดลงเช่นกันที่ระดับ 2% ในขณะที่รายได้ของกลุ่ม Services อยู่ที่ 23,867 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 14% และเป็นการทำสถิติสูงสุดอีกไตรมาส
ใครจะได้ไปต่อในยุค AI ครองโลก ?
จากผลประกอบการของ The Magnificent Seven จะพบว่าปัญญาประดิษฐ์มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อบริษัทเหล่านี้ ใครปรับตัวทันก็รอด ใครปรับตัวไม่ทันก็อาจจะตกขบวน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผลประกอบการของบางบริษัทจะออกมาไม่น่าประทับใจ แต่เราก็ไม่ควรลืมว่าบริษัทที่ก้าวเข้ามาอยู่ใน The Magnificent Seven ได้ ไม่ได้มีขนาดเล็ก ๆ หรือจะล้มหายตายจากไปได้ง่าย ๆ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทเหล่านี้ ล้วนฝังรากลึกในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของโลก
โดย BBLAM ขอแนะนำ 2 ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้นักลงทุนได้พิจารณาได้อย่างถี่ถ้วนก่อนการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี รวมถึง The Magnificent Seven ได้แก่
1. การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในปีนี้ของสหรัฐฯ อาจถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง การลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ จึงอาจมีความน่าสนใจมากกว่า
2. ความหวังด้านราคาของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีนั้นสูงเกินไป ดังนั้นเมื่อบริษัทไม่สามารถสร้างผลกำไรได้ตามที่คาดหวัง ราคาหุ้นก็อาจมีการปรับตัวลงอย่างรวดเร็วในจังหวะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การศึกษาจนเข้าใจจะพบว่าการถือหุ้นกลุ่มนี้ไว้ในระยะยาวก็สามารถได้ผลตอบแทนที่ดีเช่นกัน
สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี รวมถึง The Magnificent Seven ทาง BBLAM ขอแนะนำกองทุน B-GLOBAL และกองทุนประหยัดภาษี ได้แก่ B-GLOBALRMF ที่มีนโยบายลงทุนในบริษัทชั้นนำระดับโลก รวมถึงกองทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่าง B-INNOTECH และกองทุนประหยัดภาษี ได้แก่ B-INNOTECHRMF และ B-INNOTECHSSF ซึ่งสามารถเลือกลงทุนได้ง่าย ๆ ผ่านโมบายแบงก์กิ้งธนาคารกรุงเทพ หรือ BF Fund Trading จาก BBLAM ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 500 บาท
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ BBLAM
• โทร. 0 2674 6488 กด 8
• เว็บไซต์ www.bblam.co.th
• ลงทุนด้วยตนเองง่าย ๆ ผ่านโมบายแบงก์กิ้งธนาคารกรุงเทพ หรือแอป BF Fund Trading จาก BBLAM ได้ที่ https://www.bblam.co.th/BFTTrade
คำเตือน : การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น) / ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า ข้อมูลสำคัญ นโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุในคู่มือการลงทุนในกองทุน RMF/SSF ก่อนการตัดสินใจลงทุน / กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมิได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด
ทั้งนี้ อยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ดังนั้น ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว หรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
#BBLAM #กองทุนบัวหลวง #BFFundTrading #MobileBanking #ธนาคารกรุงเทพ #AI #ปัญญาประดิษฐ์
โฆษณา