15 ก.ค. เวลา 08:45 • การตลาด

7 เทรนด์ AI Marketing ที่จะพลิกเกมการตลาดในปี 2024

AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการตลาดอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับในด้านอื่น ๆ ทำให้การทำงานต่าง ๆ รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างคอนเทนต์ หรือช่วยทำงานที่ซ้ำ ๆ ให้เป็นระบบ เพื่อลดภาระงาน แถมยังเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆได้กว้างขึ้น และที่สำคัญคือตอนนี้มีเครื่องมือการตลาด AI มากมายให้เลือกใช้ ที่มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ ๆ สุดล้ำ
บทความนี้จะพาไปสำรวจ 7 เทรนด์ AI ที่กำลังมาแรงในปี 2024 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์ทางการตลาดในอนาคตกันค่ะ
1. AI กำลังพลิกโฉมวิธีการจัดอันดับผลการค้นหาใน Search Engine:
เคยไหมคะ ที่เวลาเราค้นหาข้อมูลบางอย่าง แล้วได้คำตอบในหน้าแรกของการค้นหาเลย โดยที่ไม่ต้องกดเข้าไปที่เว็บไซต์นั้น ๆ สิ่งนี้เรียกว่า "zero-click search" คือการที่ผู้ใช้ค้นหาข้อมูลใน search engine แต่ไม่คลิกเข้าไปดูผลการค้นหาเลย เพราะได้ข้อมูลที่ต้องการจากที่อื่นในหน้าผลการค้นหา (SERP) แล้ว ซึ่งอาจจะเป็นข้อมูลสรุปสั้น ๆ หรือฟีเจอร์อื่น ๆ ใน SERP เช่น ช่วยให้ดูแผนที่ จองบริการ หรือซื้อของ ที่เราทำได้เลยบนหน้าผลการค้นหาได้ โดยไม่ต้องออกจากหน้านี้เลย
ล่าสุด Google ได้ทดลองใช้ Search Generative Experience (SGE) ซึ่งเป็นระบบ AI ที่สรุปผลการค้นหาให้ผู้ใช้โดยอัตโนมัติ สิ่งนี้ทำให้เนื้อหาที่สร้างโดย AI ถูกจัดอันดับให้อยู่เหนือผลลัพธ์อื่น ๆ ตามมาด้วยโฆษณา คำแนะนำของ Google เอง และผลลัพธ์ทั่วไป ถึงแม้ว่า SGE จะยังอยู่ในช่วงทดลอง แต่ก็มีการทดสอบในกว่า 120 ประเทศแล้ว และคาดว่าจะถูกนำมาใช้งานจริง ๆ แม้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง
สิ่งที่ธุรกิจ หรือแบรนด์ควรทำ
ธุรกิจที่ต้องพึ่งผลการค้นหาเพื่อเข้าถึงลูกค้าจำเป็นต้องเข้าใจผลกระทบของ SGE และปรับตัวให้ทัน เพื่อให้ยังคงปรากฏบนหน้าผลการค้นหาของ Google ได้ อย่างเช่น
- สร้างคอนเทนต์คุณภาพสูง ที่มีโอกาสถูกนำไปสรุปใน SGE
- ใช้ SEO เพื่อให้คอนเทนต์ดูน่าเชื่อถือและตรงกับความต้องการของผู้ใช้
- สร้างคอนเทนต์ให้มีความต่อเนื่อง อ่านง่าย มีน้ำเสียงเป็นธรรมชาติ น่าเชื่อถือ น่าสนใจ และไว้วางใจได้ เพื่อให้ผู้อ่านมั่นใจในคุณภาพของเนื้อหา
2. LLM กำลังทำให้ AI สื่อสารได้เป็นธรรมชาติและมีประโยชน์มากขึ้น:
Large Language Model (LLM) อย่าง GPT-4 ได้พลิกโฉมความสามารถของ AI ในการสนทนา ทั้งการทำความเข้าใจบริบท การสร้างคำตอบที่สอดคล้อง และการเลียนแบบรูปแบบการพูดของมนุษย์ ทำให้การโต้ตอบระหว่างมนุษย์กับ chatbot เป็นธรรมชาติและน่าสนใจมากขึ้น แบรนด์สามารถใช้ LLM สร้างแชทบอทและผู้ช่วยเสมือนจริงที่คุยกับคนได้เหมือนคนจริง ๆ ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วม และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการลูกค้าและสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ใช้บริการ
นอกจากนี้ LLM ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถให้บริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ลูกค้าได้รับคำตอบอย่างรวดเร็วและเพิ่มความพึงพอใจโดยรวม และคาดว่าการใช้งานโซลูชัน AI เชิงสนทนาจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต
สิ่งที่ธุรกิจ หรือแบรนด์ควรทำ
การทดลองสร้างและฝึกอบรม chatbot เพื่อปรับปรุงการโต้ตอบกับลูกค้าสามารถช่วยให้ก้าวล้ำนำหน้าคู่แข่งได้ อย่าลืมว่าจำเป็นต้องมีการตรวจสอบจากมนุษย์เพื่อให้แน่ใจว่า chatbot ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม อย่างเช่น
- ค้นหาโซลูชัน AI ที่เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะ พิจารณาเครื่องมือ LLM ขั้นสูง เช่น React หรือ Daitaku
- อัปเดตสคริปต์ chatbot เป็นประจำ เพื่อให้ chatbot สามารถโต้ตอบได้เหมือนบทสนทนาในชีวิตจริง ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ที่เปลี่ยนแปลง และรวมข้อมูลใหม่ ๆ เข้าไป
- ติดตามและวิเคราะห์การโต้ตอบของลูกค้ากับ chatbot เพื่อค้นหาคำถามทั่วไป จุดที่ลูกค้าไม่พอใจ และจุดที่ต้องปรับปรุง จากนั้นใช้ข้อมูลนี้เพื่อปรับปรุงการตอบสนองของ AI อย่างต่อเนื่อง
3. Augmented Reality (AR) กำลังเปลี่ยนประสบการณ์ของลูกค้า:
ร้านค้าปลีกหลายแห่งนำเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) มาใช้เพื่อยกระดับประสบการณ์การซื้อ ช่วยให้ลูกค้าได้ลองสินค้าแบบเสมือนจริง ทำให้การช้อปปิ้งสนุกและดึงดูดใจในการเลือกซื้อสินค้า ข้อมูลจาก Threekit ระบุว่า 61% ของลูกค้าชอบร้านที่มีประสบการณ์ AR
นอกจากนี้ AR ยังช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพสินค้าในสภาพแวดล้อมจริง ช่วยในการตัดสินใจซื้อ และลดอัตราการคืนสินค้าได้อีกด้วย ทั้งนี้ AR ยังช่วยลดต้นทุนให้กับร้านค้าปลีก และดึงดูดผู้บริโภคยุคใหม่ที่ชื่นชอบเทคโนโลยีอีกด้วย
สิ่งที่ธุรกิจ หรือแบรนด์ควรทำ
- เทคโนโลยี AR ช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพสินค้าชัดขึ้นก่อนซื้อจริง ทำได้หลายแบบ เช่น ให้ลูกค้าลองสินค้าผ่านแอปมือถือ หรือดูสินค้าแบบ 3 มิติในร้านค้า
- ลองคิดว่าอยากให้ลูกค้าได้สัมผัสสินค้าแบบไหน เช่น ลองเสื้อผ้าแบบเสมือนจริง, ดูเฟอร์นิเจอร์ในห้องตัวเอง หรือสแกน QR code เพื่อดูข้อมูลสินค้า
- เมื่อเลือกวิธีใช้ AR ได้แล้ว ก็ต้องโปรโมทให้ลูกค้ารู้จัก เช่น ทำโฆษณา, จัดกิจกรรมในร้าน หรือสอนวิธีใช้ AR ให้ลูกค้าเข้าใจ
ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ลูกค้าสนุกกับการเลือกซื้อสินค้ามากขึ้น และตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นด้วย
4. CGI: โอกาสใหม่ในการเล่าเรื่องราว Storytelling ของแบรนด์ที่น่าสนใจ:
CGI หรือ Computer Generated Imagery คือการสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิกและเทคนิค 3 มิติ ที่เปิดโอกาสทางการตลาดมากมาย โดยสามารถนำเสนอสินค้าและเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจและมีประสิทธิภาพ ทำให้แบรนด์สร้างภาพสินค้าที่สมจริง และสร้างประสบการณ์เสมือนจริงให้กับลูกค้า ช่วยยกระดับประสบการณ์การซื้อสินค้าออนไลน์
นอกจากนี้ CGI ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการเล่าเรื่อง ทำให้แบรนด์สามารถสร้างเรื่องราวที่น่าประทับใจและสร้างความจดจำได้ ผลการศึกษาจาก Threekit พบว่า 61% ของผู้บริโภคต้องการให้ร้านค้ามีประสบการณ์ AR และ VR ซึ่งสอดคล้องกับการนำ CGI มาใช้ในการตลาด
แนวทางการนำ CGI ไปใช้ไปใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการตลาด:
- ลงทุนกับเทคโนโลยีและคนเก่ง: CGI ที่คุณภาพดี ต้องใช้ทั้งเทคโนโลยีที่ทันสมัยและทีมงานที่มีฝีมือ หากแบรนด์หรือองค์กรยังไม่มีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญด้าน ก็ลองร่วมมือกับสตูดิโอหรือบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านนี้ดู
- สร้างสรรค์แคมเปญที่โดดเด่น: การนำ CGI มาใช้ในการสร้างสรรค์แคมเปญการตลาด ไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว หรือวิดีโอ จะช่วยให้แบรนด์สามารถนำเสนอสินค้าหรือบริการได้อย่างน่าสนใจและแตกต่างจากคู่แข่ง
- ลองเล่นกับ AR และ VR: เทคโนโลยี AR และ VR เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่น่าสนใจในการนำ CGI มาประยุกต์ใช้ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าตื่นเต้นให้กับลูกค้า ช่วยให้ลูกค้าสามารถมีส่วนร่วมกับแบรนด์ได้มากขึ้น
- เผยแพร่คอนเทนต์ CGI: การเผยแพร่คอนเทนต์ CGI ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรือสื่อโฆษณา จะช่วยเพิ่มการมองเห็นและสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์ อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของแบรนด์อีกด้วย
5. ระบบอัตโนมัติช่วยให้อีเมลเข้าถึงผู้รับกลุ่มใหม่ได้มากขึ้น:
ระบบอัตโนมัติที่ใช้ AI ช่วยให้การตลาดทางอีเมล (Email Marketing) มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยแบ่งกลุ่มรายชื่อ ปรับแต่งเนื้อหา และตั้งค่าการส่งอีเมลตามพฤติกรรมของผู้ใช้ได้ โดย AI สามารถสร้างลำดับอีเมลที่ปรับเปลี่ยนตามความชอบส่วนบุคคล และปรับเวลาและความถี่ในการส่งเพื่อลดการยกเลิกการติดตาม
นอกจากนี้ระบบ AI ยังมีฟังก์ชันที่หลากหลายเพื่อการสื่อสารที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น นักการตลาดใช้ AI เพื่อคาดการณ์ความต้องการและความชอบของลูกค้าและนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องในเวลาที่เหมาะสม ทำให้การตลาดผ่านอีเมลที่ใช้ AI มีแนวโน้มจะได้รับความนิยมมากขึ้นในอนาคต
สิ่งที่ธุรกิจ หรือแบรนด์ควรทำ
เริ่มต้นด้วยการประเมินขั้นตอนการทำงานของอีเมลที่มีอยู่ เพื่อค้นหาจุดที่ติดขัดและโอกาสในการใช้ระบบอัตโนมัติ เลือกระบบอีเมลที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่มีชื่อเสียง เช่น MailChimp, Klaviyo หรือ Drip และตรวจสอบให้แน่ใจว่าสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของแบรนด์ อย่างเช่น
- แบ่งกลุ่มเป้าหมาย: ใช้ AI เพื่อแบ่งกลุ่มรายชื่ออีเมลตามข้อมูลประชากร กิจกรรม และความชอบ เพื่อให้การสื่อสารตรงกลุ่มเป้าหมาย
- ตั้งค่าระบบอัตโนมัติ: ตั้งค่าทริกเกอร์อัตโนมัติ เช่น อีเมลต้อนรับ การเตือนเมื่อทิ้งสินค้าในตะกร้า และอีเมลกระตุ้นการกลับมาใช้งานใหม่ พร้อมปรับแต่งข้อความสำหรับแต่ละอีเมล
- ทดสอบและปรับปรุง: ใช้การทดสอบ A/B เพื่อทดลองด้านต่างๆ และปรับแต่งกลยุทธ์ ใช้ระบบวิเคราะห์ AI เพื่อติดตามตัวชี้วัดสำคัญและทำซ้ำเพื่อการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
6. AI ช่วยปรับโฆษณาให้ตรงใจผู้ชม ตามพฤติกรรมของผู้ใช้:
AI ช่วยปรับโฆษณาให้ตรงใจผู้ชมมากขึ้น โดยการวิเคราะห์ข้อมูลจากแคมเปญที่ผ่านมา เพื่อสร้างเนื้อหาโฆษณาที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภค นอกจากนี้ AI ยังสามารถกำหนดเป้าหมายโฆษณาใหม่ตามการโต้ตอบในอดีต เพื่อเพิ่มโอกาสในการซื้อ
อีกทั้งยังมีอัลกอริทึมการเสนอราคาที่ปรับราคาข้อเสนอแบบเรียลไทม์ ทำให้การซื้อโฆษณามีประสิทธิภาพและไม่เกินงบประมาณ การใช้ AI ในการประเมินแคมเปญและสร้างวงจรป้อนกลับยังช่วยให้นักการตลาดสามารถปรับเปลี่ยนเนื้อหาโฆษณาและการกำหนดเป้าหมายได้อย่างต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำหนดเป้าหมายโฆษณาด้วย AI แนะนำว่าแบรนด์ควรทำสิ่งต่อไปนี้
- ใช้ระบบวิเคราะห์ AI: ใช้ AI เพื่อปรับแต่งโฆษณาและแบ่งกลุ่มเป้าหมาย โดยส่งข้อความที่เหมาะสมต่อกลุ่มผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม
- โต้ตอบกับข้อมูลผู้ใช้: ทำความเข้าใจความชอบและทัศนคติของผู้ใช้ แล้วปรับแต่งเทคนิคการกำหนดเป้าหมายโฆษณาให้เข้ากันได้
- สำรวจเครื่องมือ AI: ลองใช้เครื่องมือสร้างเนื้อหาและประเมินโฆษณา เช่น WordStream's Google Ads Performance grader เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและให้สอดคล้องกับเป้าหมายของแคมเปญและกลยุทธ์ทางการตลาด
7. AI ช่วยยกระดับความแม่นยำในการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์
การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์เป็นส่วนสำคัญในการปรับแต่งกลยุทธ์การตลาดและการจัดการทรัพยากรให้เหมาะสม เช่นการคาดการณ์ความเคลื่อนไหวของตลาดที่แม่นยำจะช่วยให้ธุรกิจสามารถทำแคมเปญที่เหมาะสมและเป้าหมาย เลือกช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสม และตอบสนองต่อกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น การใช้โมเดลการคาดการณ์ยังช่วยในการจัดสรรทรัพยากร เช่นการกระจายงบประมาณและปรับกำลังคนให้เหมาะสมกับความต้องการที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า
การพัฒนาโมเดลการคาดการณ์ด้วย AI ช่วยเสริมศักยภาพในการตัดสินใจทางการตลาดได้มากขึ้น เช่น การคาดการณ์ความต้องการของตลาด และกลยุทธ์การตั้งราคาที่เหมาะสม เพื่อปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับบุคคลแต่ละคน นอกจากนี้ยังช่วยในการประเมินค่าของลูกค้าตลอดอายุการใช้งาน
ด้วยการใช้งานโมเดลการคาดการณ์ที่มีประสิทธิภาพ องค์กรสามารถสร้างรายได้ได้มากขึ้นถึง 15% โดยการปรับแต่งกลยุทธ์ที่เน้นที่บุคคลในลูกค้าแต่ละคนอย่างเฉพาะบุคคล
สิ่งที่ธุรกิจ หรือแบรนด์ควรทำ เพื่อใช้การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ:
.
- ประเมินการคาดการณ์อย่างสม่ำเสมอ: และปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกัน เพื่อให้ทันต่อแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลง
- รักษาข้อมูลในอดีต: อย่างครอบคลุม เพื่อการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ที่แม่นยำและการตัดสินใจอย่างรอบรู้
- สำรวจเครื่องมือต่าง ๆ: เพื่อปรับปรุงทักษะการคาดการณ์และให้ข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ได้จริง ให้ลองใช้เครื่องมือวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ที่หลากหลาย เช่น Altair AI Studio, H2O Driverless AI และ IBM Watson Studio
จากข้อมูลเกี่ยวกับเทรนด์ทั้งหมด จะเห็นว่า AI กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของนักการตลาดในหลาย ๆ ด้าน และบริษัทต่าง ๆ อย่าง Mastercard, Zara, Sephora และ ClickUp เอง ก็ใช้ AI เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาดและสร้างผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม เช่น
1. Mastercard: ใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลจากโซเชียลมีเดียผ่านเครื่องมือ Social Listening เพื่อติดตามแนวโน้มและความสนใจของลูกค้า ผลลัพธ์ที่ได้รับรวมถึงการเพิ่ม CTR, การมีส่วนร่วม, และการลดต้นทุนการมีส่วนร่วม
2. Zara: ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อปรับแต่งการจัดจำหน่ายสินค้าและสร้างประสบการณ์การช้อปที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. Sephora: ใช้ Chatbot AI เพื่อให้บริการลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ และปรับแต่งเฉดสีสินค้าตามความต้องการของลูกค้า
4. ClickUp: ใช้เครื่องมือ SurferSEO เพื่อปรับแต่งเนื้อหาบล็อกเพื่อเพิ่มปริมาณการเข้าชมจากการค้นหา และใช้ Content Intelligence เพื่อพัฒนาหัวข้อเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
สรุปแล้วการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในการตลาดช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้เป็นอย่างดีค่ะ (5)
.
โฆษณา