15 ก.ค. เวลา 10:32 • การเมือง

“กะหรี่” อาชญากรที่ถูกรังแกด้วยกฎหมายและการตีตราจากสื่อ

ภาพคุ้นชินที่เราเห็นตามสื่อ เวลาที่เหล่าผู้ค้าประเวณีหรือ Sex Worker โดนจับหรือโดนรวบ มักจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายล้อมตัวไว้ ขณะที่เหล่า Sex Worker เพียงไม่กี่คนกำลังนั่งให้การ พร้อมกับการเบลอหน้าเพื่อปกปิดตัวตนจากสื่อ แต่กลับใส่ชื่อ อายุและภูมิลำเนาของพวกเธอไว้ชัดเจน หรือแม้แต่การใช้คำในสื่อที่มองด้วยเลนส์ของศีลธรรม เช่น ใช้แทนพัทยาว่า “เมืองบาป” ภาพที่เราคุ้นชิ้นจนกลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งไม่ควรทำให้เป็นเรื่องปกติตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ
เหตุการณ์เช่นนี้ ผู้ที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ ก็ย่อมหนีไม่พ้นตัว Sex Worker เอง เราเคยตั้งคำถามกันไหมว่า เวลาเห็นข่าวบนหน้าจอทีวีหรือตามโซเชียลมีเดีย เหตุใดพวกเธอถึงโดนจับ ทำผิดด้วยข้อหาอะไร เมื่อถูกเปิดเผยตัวตนผ่านสื่อ พวกเธอรับมือกับมันอย่างไร จะประกอบอาชีพได้อย่างเคยหรือไม่ และคำถามที่สำคัญได้รับการเยียวยาหรือเปล่า?
ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทางมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING) ได้เข้าไปช่วยเหลือ Sex Worker กลุ่มหนึ่ง ในจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งมีประเด็นที่ทางเราเห็นว่าเป็นสิ่งที่ ‘ผิดปกติ’ และในบทความนี้ เป็นการสัมภาษณ์ Sex Worker จำนวน 5 คนที่ถูกดำเนินคดีด้วยข้อหา ‘เตร็ดเตร่’ อยู่ในพ.ร.บ.ปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503 ซึ่งถูกยกเลิกใช้ไป ซึ่งมีหลักฐานชัดเจนในใบเสร็จจ่ายเงิน รวมถึงถูกสื่อบางสำนักนำเสนอข่าวโดยเปิดเผยข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนของพวกเธอได้ สรุปได้สั้นๆ ว่า พวกเธอคือ “เหยื่อ” ของผู้ใช้กฎหมายและสื่อ
ภาพประกอบเนื้อหา มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด (freepik)
ก่อนจะลงลึกถึงสิ่งผิดปกที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์นี้ เราต้องเข้าใจถึงวิถีชีวิตของพวกเธอก่อน..
ในตอนกลางวัน บางคนทำงานรับจ้างรายวัน บางคนเป็นแม่ค้าขายของตามข้างถนน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเสาหลักของครอบครัว รายได้จากอาชีพหลักเพียงอย่างเดียวนั้นไม่พอกับภาระที่ต้องแบก พวกเธอจึงหันมาทำอาชีพเสริมในตอนกลางคืน นั่นก็คือการเป็น Sex Worker
พวกเธอเล่าว่าการปรับเงินจากเจ้าหน้าที่นั้นถือเป็นเรื่องปกติในอาชีพกลางคืน ทุกครั้งที่ตำรวจโผล่มามักจะมีคำพูดติดปากเสมอว่า “ไปช่วยราชการ” เป็นคำที่รู้กันดีว่าในวันนั้นพวกเธอต้องเสียค่าปรับแน่นอน โดยไม่มีการตั้งข้อหาใดๆ วิธีการของตำรวจคือจะยึดบัตรประชาชนของ Sex Worker ทุกคนที่ยืนขายในละแวกเดียวกัน ซึ่งกำหนดจำนวนคนที่ต้องปรับไว้มาก่อนแล้ว
ถ้าวันนั้นมี Sex Worker ไม่ถึงเกณฑ์ที่ตั้งมา เจ้าหน้าที่จะให้เหล่า Sex Worker โทรตามเพื่อนมาให้ครบคน จากนั้นจะให้พวกเธอตามใบรับบัตรประชาชนพร้อมกับต้องจ่ายเงินค่าปรับที่สถานีตำรวจ
ในคืนหนึ่งของเดือนมิถุนายน ขณะที่พวกเธอกำลังนั่งอยู่ริมถนนตามปกติ ได้มีตำรวจราว 10 กว่านาย พร้อมกับรถกระบะ 2 คันและรถจักรยานยนต์อีก 6 คัน ล้อมพวกเธอไว้และรวบจับพวกเธอทั้งหมด 9 คนขึ้นรถกระบะ ในวันนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจปรับพวกเธอด้วยข้อหาเตร็ดเตร่คนละ 1,000 บาท
แต่ด้วยความที่ในวันนั้นพวกเธอยังไม่มีลูกค้าเลยสักคน เจ้าหน้าที่เลยลดค่าปรับจาก 1,000 บาท ให้เหลือคนละ 50 บาท แม้จะเป็นเงินจำนวนที่ลดลงมาก แต่พวกเธอก็ต้องรวบรวมเงินทั้งหมดที่มีติดตัวจ่ายค่าปรับไป ใครมีเหรียญบาท เหรียญสิบก็ต้องรวบรวมให้ครบตามจำนวนค่าปรับ ถึงอย่างนั้นก็มีบางคนที่ไม่ได้ถูกปล่อยตัวออกมาเนื่องจากรวบรวมเงินไม่ถึง 450 บาท
ในเช้าของวันต่อมา ภาพของพวกเธอปรากฏอยู่ในข่าวหน้าหนึ่ง พร้อมกับถูกแชร์ข่าวว่อนอินเทอร์เน็ตทั้งสื่อหลักและสื่อท้องถิ่น เป็นข่าวการบุกจับกลุ่มผู้ค้าประเวณีด้วยพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 ในมาตรา 5
ที่ว่าด้วย ผู้ใดเข้าติดต่อ ชักชวน แนะนำตัว ติดตาม หรือรบเร้าบุคคลตามถนนหรือสาธารณสถาน หรือกระทำการดังกล่าวในที่อื่นใด เพื่อการค้าประเวณีอันเป็นการเปิดเผยและน่าอับอาย หรือเป็นที่เดือดร้อนคำราญแก่สาธารณชน ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท ซึ่งเป็นข้อหาที่ไม่ตรงกับใบเสร็จรับเงินที่ปรับด้วยข้อหาเตร็ดเตร่
ในข่าวบอกว่าพวกเราไปสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน กูให้ความสุขประชาชน อยากจะตอบกลับแบบนี้
ความในใจของหนึ่งใน Sex Worker ที่โดนจับและมีภาพปรากฏบนสื่อในวันนั้น ซึ่งบางคนต้องจำยอมรับมือกับสภาพที่เกิดขึ้นและดำเนินชีวิตต่อไป แต่บางคนอาจจะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมไม่ได้อีกเลย
บางคนข้าวไม่กิน คือตัวเขาไม่เป็นอะไรหรอกแต่ว่าทางบ้านเขาไม่รู้ พ่อแม่มีหน้ามีตา เขามาทำแบบนี้เขาไม่อยากให้พ่อแม่ลำบาก ลูกลำบาก ลูกเขา 4 คน ก็นอนร้องไห้ อยู่แต่บ้านอย่างเดียว เห็นตำรวจก็กลัว แล้วก็กลัวพ่อแม่จะรู้
นอกจากนี้ยังมีผลกระทบด้านอื่นที่พวกเธอรู้สึกถูกมองว่าเป็นตัวตลกของสังคม หลังจากเกิดเหตุการณ์ พวกเธอยังคงต้องมายืนหาลูกค้า ณ จุดบริเวณเดิม ก็จะมีประชาชนทั่วไปขับรถผ่านแล้วตะโกนแซวบ้าง เช่น ไม่อายหรอ ออกมายืนเป็นกะหรี่ หรือลูกค้าประจำบางคนก็ไม่กล้ามาใช้บริการอีกเพราะกลัวว่าเรื่องจะไปถึงครอบครัว ซึ่งแน่นอนว่าทำให้พวกเธอเสียรายได้ในส่วนนี้ อย่างน้อยก็ในช่วงที่มีเกิดออกข่าว
ในส่วนของการเยียวยาจากหน่วยงานรัฐ หลังจากเกิดเหตุได้ไม่นานพวกเธอถูกเรียกให้ไปพบกับผู้ว่า นายอำเภอ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ (พม.) รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ให้เงินเยียวยา 3,000 พร้อมกับข้าวสารคนละกระสอบ รวมถึงให้ไปอบรมฝึกอาชีพจักรเย็บ ทำขนม
วันนั้นพี่ก็พูดหยาบๆ กับผู้ว่า ถ้าไม่ได้ทำงาน ผ้าอนามัยหนูยังไม่มีปัญญาซื้อเลย
พวกเธอมองว่าสิ่งที่หน่วยงานรัฐเข้ามาช่วยเหลือนั้นเป็นการช่วยเหลือแค่เพียงเบื้องต้น และยืนยันว่าจะกลับไปทำอาชีพนี้ต่อ ถ้าหากวันหนึ่งจะมาจับหรือปรับพวกเธออีก
การเยียวยาหลักที่พวกเธอต้องการมากที่สุด คือการเยียวจากสื่อ เพราะผลกระทบหลักๆ ที่ทำให้พวกเธอกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมไม่ได้อีกคือการตัวตนของพวกเธอถูกกระจายออกไปทั่วในสื่อและโซเชียลมีเดีย พวกเธอฝากถามว่า จะเยียวยาความเสียหายจากสิ่งที่พวกเธอต้องแบกรับอย่างไร
การถูกตีตราเหล่านี้อาจจะถูกลดลงบ้าง ถ้าหากว่า Sex Worker ไม่ถูกปฏิบัติเหมือนเป็นอาชญากร ปัจจุบันมีหลายองค์กรที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยหลายแนวทาง อาทิ แก้กฎหมายใหม่ให้คุ้มครองอาชีพ Sex Worker ในสถานประกอบการ หรือแก้ไขให้มีการลงทะเบียน Sex Worker เพื่อให้ได้รับสวัสดิการต่างๆ อาทิ การตรวจโรคติดต่อทางเพศฟรี
แนวทางของมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING) เรายืนยันมาเสมอว่าต้องมีการยกเลิกพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีพ.ศ.2539 เท่านั้น และให้อาชีพ Sex Worker ได้รับการคุ้มครองโดยกรมแรงงานเหมือนกับอาชีพอื่นๆ เหยื่อที่เกิดขึ้นในธุรกิจนี้จะถูกมองเห็นและได้รับการช่วยเหลือ ซึ่งมีกฎหมายรองรับอยู่แล้วทั้งสิ้น อาทิ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เป็นต้น เพียงเท่านี้ Sex Worker ก็มีสถานะเท่ากับแรงงานอาชีพอื่นและจะไม่ใช่อาชญากรอีกต่อไป.
ภาพประกอบเนื้อหา มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด (freepik)
เขียนโดย
วิมุตตินันท์ เชื้อสาวะถี
โฆษณา