16 ก.ค. เวลา 11:59 • ประวัติศาสตร์

ความจริงเบื้องหลังการยอมแพ้ของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2

หลายคนทราบดีว่าญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากที่สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูลงยังเมืองฮิโรชิม่าและนางาซากิ
หากแต่นักประวัติศาสตร์หลายคนก็เชื่อว่าความจริงนั้นอาจจะต่างออกไป
1
เรื่องราวเป็นอย่างไร ลองมาดูกันครับ
สหรัฐอเมริกาได้เริ่มโครงการพัฒนาระเบิดปรมาณูในปีค.ศ.1942 (พ.ศ.2485) โดยในวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ.1942 (พ.ศ.2485) ก็ได้มีการใช้ระเบิดปรมาณูลูกแรกในการทดลองที่นิวเม็กซิโก
1
โครงการระเบิดปรมาณูนี้มีชื่อเรียกว่า “โครงการแมนแฮตตัน (Manhattan Project)” โดยในเวลานั้น สหรัฐอเมริกาเชื่อว่าเยอรมนีก็กำลังพัฒนาระเบิดของตน ดังนั้นทุกอย่างต้องเร่ง และฝ่ายสัมพันธมิตรต้องสร้างระเบิดให้ได้ก่อน
โครงการพัฒนาระเบิดปรมาณูนี้นับเป็นโครงการทางวิศวกรรมที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยงบประมาณที่ใช้ในปีค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) นั้นสูงถึง 2,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากคิดตามค่าเงินปัจจุบัน จะสูงถึง 34,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท)
1
6 สิงหาคม ค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) ประมาณสามสัปดาห์หลังจากสหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จในการทดลองระเบิดปรมาณู ฝ่ายอเมริกันก็ได้ทิ้งระเบิดปรมาณูลงยังเมืองฮิโรชิม่า ประเทศญี่ปุ่น ก่อนที่ในอีกสามวันต่อมา 9 สิงหาคม ค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) จะมีการทิ้งระเบิดลูกที่สองลงยังเมืองนางาซากิ
1
คืนวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) รัฐบาลญี่ปุ่นได้ส่งจดหมายขอยอมแพ้ จากนั้นประวัติศาสตร์ก็ได้จารึกเรื่องราวนี้มาจนถึงปัจจุบัน
1
ทีนี้เราลองมาดูกันว่าทำไมทั้งฝ่ายอเมริกันและฝ่ายญี่ปุ่นจึงยินดีที่จะให้ชุดความรู้ที่ว่าญี่ปุ่นยอมแพ้เนื่องจากถูกทิ้งระเบิด ซึ่งต้องบอกก่อนว่านี่ไม่ใช่ความเห็นของผมนะครับ แต่เป็นการวิเคราะห์จากนักประวัติศาสตร์หลายๆ คน ผมเพียงเอามาถ่ายทอดอีกที
เริ่มจากฝ่ายอเมริกัน ในเวลานั้นสหรัฐอเมริกาทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับโครงการพัฒนาระเบิดปรมาณู และรัฐบาลก็ต้องการให้ประชาชนเห็นว่าเงินภาษีที่ถูกนำมาพัฒนานั้นคุ้มค่า
1
การอ้างว่าระเบิดปรมาณูที่พัฒนามาด้วยงบประมาณมหาศาลนี้ได้ผลดีเยี่ยม ทำให้ญี่ปุ่นต้องยอมแพ้สงคราม ย่อมส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลในสายตาชาวอเมริกัน ไม่ทำให้ชาวอเมริกันคิดว่าเงินภาษีถูกนำไปใช้ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
2
นอกจากนั้น การเคลมเครดิตได้ว่าสหรัฐอเมริกาเป็นชาติที่สร้างอาวุธที่สามารถทำให้สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ก็ทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นชาติมหาอำนาจอันดับหนึ่งในสายตาชาวโลก
หากมีการประกาศว่าญี่ปุ่นยอมแพ้เนื่องจากสหภาพโซเวียตประกาศสงครามในวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) ก็จะหมายความว่าสหภาพโซเวียตใช้เวลาเพียงหกวัน ทำในสิ่งที่สหรัฐอเมริกาใช้เวลาหลายปีจึงสำเร็จ
1
นี่ย่อมส่งผลกระทบต่อความน่าเกรงขามของสหรัฐอเมริกาเป็นแน่
ทางด้านญี่ปุ่น ญี่ปุ่นก็ยินดีที่จะให้ความเชื่อที่ว่าตนยอมแพ้เพราะถูกทิ้งระเบิดนั้นแพร่กระจายออกไปเช่นกัน
รัฐบาลญี่ปุ่นนั้นให้ความสำคัญกับองค์จักรพรรดิ ต้องการให้องค์จักรพรรดิยังคงอยู่ในอำนาจและเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวญี่ปุ่น
รัฐบาลจำเป็นต้องหาข้ออ้างในการยอมแพ้สงคราม แต่จะให้ยอมรับว่าที่ต้องยอมแพ้ก็เพราะการบริหารจัดการที่ผิดพลาด กลยุทธ์การศึกที่ผิดพลาด นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลจะยอมทำ
ดังนั้นการโยนความผิดไปให้สุดยอดอาวุธอย่างระเบิดปรมาณูของสหรัฐอเมริกา จึงเป็นทางเลือกที่ดีมาก
1
ข้ออ้างอย่างระเบิดปรมาณูนี้ นอกจากจะไม่ทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลเสื่อมเสียเท่าไร ยังป้องกันไม่ให้ภาพลักษณ์ของญี่ปุ่นเป็นชาติที่อำมหิต แต่ทำให้ผู้คนมองว่าญี่ปุ่นเป็นหยื่อที่น่าสงสารได้อีกด้วย
นอกจากจะทำให้ญี่ปุ่นดูน่าสงสารแล้ว ยังเหมือนเป็นการปิดซ่อนเรื่องชั่วช้าต่างๆ ที่ญี่ปุ่นเคยทำมา ไม่ว่าจะเป็นการที่ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีเพิร์ล ฮาร์เบอร์ (Pearl Harbor) ซึ่งดึงสหรัฐอเมริกาเข้าสู่สงครามอย่างเต็มตัว หรืออาชญากรรมสงครามต่างๆ ที่กระทำต่อจีน เช่น เหตุการณ์ที่นานกิง รวมทั้งหน่วย 731 (Unit-731) เป็นต้น ทำให้เรื่องชั่วช้าเหล่านี้ถูกมองข้ามและไม่เป็นที่สนใจมากนัก
3
และอันที่จริง ญี่ปุ่นเองก็มีแผนการที่จะสร้างระเบิดของตนเองเช่นกัน หากแต่ต้องยอมแพ้สงครามซะก่อน
ดังนั้นข้ออ้างเรื่องระเบิดปรมาณู จึงนับเป็นข้ออ้างชั้นดีที่ไม่น่าปฏิเสธเลยทีเดียว
และข้อวิเคราะห์ของนักประวัติศาสตร์บางส่วนนั้น ได้กล่าวว่าภาพการทิ้งระเบิดปรมาณูยังฮิโรชิม่าและนางาซากินั้นรุนแรง สยดสยอง มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เมืองถูกทำลายจนแทบไม่เหลือ
แต่จากข้อมูลนั้น หากเปรียบเทียบความเสียหายของฮิโรชิม่าและนางาซากิ เทียบกับเมืองอีก 68 เมืองที่ถูกกองทัพอเมริกันทิ้งระเบิดในช่วงฤดูร้อน ค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) เมืองฮิโรชิม่าและนางาซากินั้นเทียบไม่ได้เลย
การทิ้งระเบิดปรมาณูลงยังฮิโรชิม่าทำให้มีผู้เสียชีวิต 126,000 คน ส่วนที่นางาซากิ 80,000 คน
แต่การทิ้งระเบิดลงยังกรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 200,000 คน และอีกหนึ่งล้านคนกลายเป็นคนไร้บ้าน
2
และหากดูจากผลสำรวจเพิ่มเติม จากข้อมูลพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย ฮิโรชิม่าจะอยู่ในอันดับที่เจ็ด ส่วนข้อมูลความเสียหายของเมืองที่ตีเป็นเปอร์เซ็นต์ ฮิโรชิม่าจะอยู่ในอันดับที่ 17
3
เรียกได้ว่าความเสียหายของฮิโรชิม่าและนางาซากินั้นยังไม่ใช่ที่สุด ไม่ได้ร้ายแรงเป็นอันดับต้นๆ เลย
1
คำถามต่อมาก็คือ “สหภาพโซเวียตมาเกี่ยวข้องอะไรด้วย?”
จากข้อมูลการวิเคราะห์ของนักประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่นทราบดีว่าฝ่ายอเมริกันจะบุกโจมตีแผ่นดินใหญ่ของญี่ปุ่น และก็ได้เตรียมการป้องกันเอาไว้แล้ว
ในอีกด้านหนึ่ง ญี่ปุ่นก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหภาพโซเวียต และญี่ปุ่นก็หวังว่าสหภาพโซเวียตจะเป็นคนกลาง ช่วยไกล่เกลี่ยและเจรจากับสหรัฐอเมริกาหากต้องมีการเจรจาทางการทูตกัน
1
แต่แผนการทุกอย่างก็พังทลายเมื่อสหภาพโซเวียตประกาศสงครามต่อญี่ปุ่นในวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ.1945 (พ.ศ.2488)
วันต่อมา 9 สิงหาคม ค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) กองทัพโซเวียตได้บุกเข้าไปยังแนวป้องกันของญี่ปุ่นที่แมนจูเรียและซาฮาลิน และยังมีคำสั่งจากเบื้องบนของโซเวียตให้บุกฮอกไกโด
1
เรียกได้ว่าญี่ปุ่นต้องรับมือกับการโจมตีจากทั้งสองด้าน ทั้งจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ซึ่งนี่อาจจะหนักหนาเกินกว่าที่จะรับได้
ดังนั้นการใช้ระเบิดปรมาณูจึงอาจจะไม่ใช่สิ่งจำเป็นเลย แม้แต่บุคลากรระดับสูงในกองทัพฝ่ายอเมริกันหลายคนเองก็ได้ออกมาพูดว่าไม่มีความจำเป็นต้องใช้ระเบิดปรมาณูต่อญี่ปุ่นเลย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมถึงประธานาธิบดีในอนาคตอย่าง “ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ (Dwight D. Eisenhower)” ซึ่งในขณะนั้นเป็นนายพลระดับสูงในกองทัพอเมริกัน ก็ได้กล่าวว่า
2
“ผมบอกไปแล้วว่าผมไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ด้วยสองเหตุผล หนึ่ง ญี่ปุ่นก็พร้อมที่จะยอมแพ้อยู่แล้วและไม่มีความจำเป็นต้องโจมตีพวกเขาด้วยสิ่งเลวร้าย (ระเบิดปรมาณู) นี้เลย สอง ผมไม่อยากเห็นประเทศของเราเป็นชาติแรกที่ใช้อาวุธนี้”
4
ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ (Dwight D. Eisenhower)
ดังนั้นถ้าให้สรุป อาจจะกล่าวได้ว่าระเบิดปรมาณูนี้ก็ได้ช่วยเหลือชีวิตทหารอเมริกันเป็นจำนวนมาก และยิ่งกระตุ้นให้ญี่ปุ่นยอมแพ้เร็วขึ้น
แต่ในความเป็นจริงนั้น ญี่ปุ่นเองก็อาจจะเตรียมการที่จะยอมแพ้มาเป็นเวลาก่อนหน้านั้นเป็นเวลาแรมเดือนอยู่แล้ว
1
และอาจจะกล่าวได้ว่าระเบิดปรมาณูไม่ใช่สิ่งที่ทำให้สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงอย่างแท้จริง หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามครั้งใหม่
นั่นคือ “สงครามเย็น (Cold War)”
สั่งซื้อหนังสือ “ประวัติศาสตร์แห่งความหลอกลวง 5,000 ปีของการต้มตุ๋น ฉ้อโกง โกหก ปลอมแปลง” ได้ตามลิ้งค์นี้นะครับ
โฆษณา