งานแถลงข่าว “ความร่วมมือ AOT CAAT และ Thai AirAsia X

งานแถลงข่าว “ความร่วมมือ AOT CAAT และ Thai AirAsia X พร้อมพัฒนาศักยภาพด้านการบินสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค (Aviation Hub) โดย Thai AirAsia X ย้ายฐานปฏิบัติการมาประจำ ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป”
AOT CAAT และ Thai AirAsia X พร้อมขานรับนโยบายของรัฐบาล เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้ประเทศไทยได้แสดงศักยภาพด้านการบินของไทยสู่การเป็น Aviation Hub รวมถึงแผนการรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบินในอนาคต และเปิดโอกาสให้ท่าอากาศยานดอนเมืองได้โชว์ศักยภาพในการนำเทคโนโลยีเข้ามาให้บริการผู้โดยสาร
ทำให้การเดินทางของผู้โดยสารเป็นไปอย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย รวมไปถึงสายการบินในฐานะภาคเอกชนที่พร้อมส่งเสริมสนับสนุนนโยบายภาครัฐ และสร้างเครือข่ายเส้นทางการบินที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการการเดินทางของผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยมี ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) นายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อำนวยการ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) และ นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ร่วมแถลงข่าวพร้อมด้วยผู้บริหารท่าอากาศยานดอนเมือง ผู้บริหาร กพท. และผู้บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ เข้าร่วมงานแถลงข่าว ณ อาคารบริการผู้โดยสาร (Service Hall) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.)
ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT กล่าวว่า AOT พร้อมส่งเสริมนโยบายผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของโลก เชื่อมโยงการขนส่งทางอากาศ และเชื่อมต่อการเดินทางแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตามนโยบายของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี
รวมถึงนโยบาย “คมนาคมเพื่อความอุดมสุขของประชาชน” ของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่มุ่งเน้นการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งอย่างไร้รอยต่อ ทั้งทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งอำนวยความสะดวก และความปลอดภัยในทุกมิติ โดยผลักดันให้ ทดม.เป็นท่าอากาศยานแบบ POINT-TO-POINT ที่สะดวก รวดเร็ว ครบครัน เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร ยกระดับการบริการของ ทดม.
ซึ่งปัจจุบัน AOT อยู่ระหว่างเร่งดำเนินโครงการพัฒนา ทดม. ระยะที่ 3 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจาก 30 ล้านคนต่อปี เป็น 40 ล้านคนต่อปี พร้อมเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจในประเทศและระหว่างประเทศให้มีความพร้อมรองรับการเดินทางในอนาคต สอดคล้องกับบทบาททางยุทธศาสตร์ “ท่าอากาศยานที่รวดเร็ว และสะดวกสบาย” หรือ “Fast and Hassle-free Airport”
นอกจากการพัฒนาท่าอากาศยานแล้ว ทดม.ได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกี่ยวกับระบบบริการผู้โดยสารเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย บรรเทาความหนาแน่นของผู้โดยสารในชั่วโมงเร่งด่วน อาทิ ระบบ Biometric เพื่อระบุตัวตนผู้โดยสาร โดยใช้เทคโนโลยี Face Recognition ระบบเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (Common Use Self Service: CUSS) ระบบรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (Common Use Bag Drop: CUBD) และระบบตรวจสอบยืนยันตัวตนผู้โดยสาร (Passenger Validation System: PVS)
ทำให้สามารถลดระยะเวลากระบวนการผู้โดยสารขาเข้าและขาออกภายในประเทศตามเกณฑ์เป้าหมายที่ AOT กำหนด ซึ่งส่งผลให้ ทดม.ติดอันดับ 10 ของสนามบินสำหรับสายการบินต้นทุนต่ำที่ดีที่สุดในโลก (World’s Best Low-Cost Airline Terminals) จากการจัดอันดับของ Skytrax โดยสำรวจความคิดเห็นของผู้เดินทางด้วยเครื่องบินทั่วโลก ดังนั้น การที่ Thai AirAsia X กลับมาให้บริการที่ ทดม.
เปิดโอกาสให้ ทดม.ได้แสดงศักยภาพในการเป็นท่าอากาศยานที่พร้อมรองรับผู้โดยสารจากเที่ยวบินระหว่างประเทศ กลายเป็น Low-Cost Hub และสอดคล้องกับโครงการพัฒนา ทดม. ระยะที่ 3โดยเชื่อมั่นว่า ทดม.จะสามารถติดอันดับที่ดีขึ้นได้ในอนาคต ทั้งนี้ AOT มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามวิสัยทัศน์องค์กรที่จะก้าวสู่การเป็น “ผู้ให้บริการท่าอากาศยานที่ดีระดับโลก” ด้วยการส่งมอบการบริการที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัยบนมาตรฐานสากล
พร้อมที่จะเป็นกำลังสำคัญในการส่งเสริมนโยบายศูนย์กลางการบินของรัฐบาล ซึ่งท่าอากาศยานถือเป็นประตูต้อนรับนักเดินทางและเป็นฟันเฟืองหลักในการกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบิน ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป
นายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อำนวยการ กพท. กล่าวว่า การบรรลุเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคของประเทศไทย ตามนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ต้องร่วมมือและมีหลายมิติที่ต้องดำเนินการไปพร้อมๆ กัน นอกจากการกระตุ้นอุปสงค์ (Demand) แล้ว การทำให้เกิดอุปสงค์ของตลาด (Market Demand)
โดยการเพิ่มขีดความสามารถของระบบการบินให้หลากหลายขึ้น ถือเป็นส่วนสำคัญไปสู่เป้าหมายการย้ายฐานปฏิบัติการของ Thai AirAsia X เป็นหนึ่งในแผนปฏิบัติการที่สำคัญดังกล่าว ซึ่งส่งผลดีต่อการบริหารจัดการระบบสนามบินที่สำคัญของประเทศ โดยการทำให้สนามบินสุวรรณภูมิมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น สำหรับการพัฒนาเป็นสนามบินเพื่อการเชื่อมต่อเที่ยวบินระหว่างประเทศของการเดินทางในระยะไกล (Long-haul flights)
ในขณะที่สนามบินดอนเมืองก็มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้นในการเป็นสนามบินที่เชื่อมโยงเที่ยวบินระหว่างประเทศในระยะใกล้ถึงปานกลาง (Short-haul and Medium-haul flights) กับเที่ยวบินภายในประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับการวางแผนและพัฒนาระบบสนามบินเชิงบูรณาการของประเทศ (National Plan of Integrated Airport Systems) ที่เป็นหนึ่งในแผนหลักภายใต้เป้าหมายศูนย์กลางการบินของไทยตามนโยบายรัฐบาลที่ กพท. กำลังพยายามขับเคลื่อนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนอยู่ในขณะนี้
ด้านนายธรรศพลฐ์ เเบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ กล่าวว่า จากการหารือร่วมกัน ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ เข้าใจและมีความพร้อมในการกลับมาให้บริการทุกเที่ยวบิน ณ ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง ตั้งเเต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป
ซึ่งจะสร้างความเเข็งเเกร่งในการเชื่อมต่อกับเครือข่ายการบินของสายการบินไทยแอร์เอเชีย ที่มีทั้งเส้นทางภายในประเทศและระหว่างประเทศ กว่า 93 เส้นทาง สามารถร่วมกันทำโปรโมชัน และส่งเสริมให้ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมืองเป็นศูนย์กลางการบินราคาประหยัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับผู้โดยสารไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ที่สำรองที่นั่งล่วงหน้าไว้เเล้ว เเละเดินทางตั้งเเต่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป จะได้รับการติดต่อโดยตรงผ่านอีเมล SMS และช่องทางที่ท่านเเจ้งไว้กับสายการบิน
โดยสายการบินจะปรับเที่ยวบินของท่านมาที่ท่าอากาศยานดอนเมืองโดยอัตโนมัติ พร้อมข้อเสนอทางเลือกการเดินทางต่างๆ ขอให้ท่านมั่นใจได้ว่าจะได้รับความสะดวกที่พอใจในการย้ายการให้บริการครั้งนี้ ปัจจุบันไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ (เที่ยวบินรหัส XJ) มีเครื่องบินแอร์บัส เอ330 ประจำการ 8 ลำในฝูงบิน และมีเที่ยวบินตรงเข้าออกสู่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ โตเกียว โอซาก้า ซัปโปโร นาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน และซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย
โฆษณา