17 ก.ค. เวลา 06:57 • ประวัติศาสตร์

“การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์รวันดา (Rwandan Genocide)” การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สุดโหดร้ายในศตวรรษที่ 20

ในปีค.ศ.1994 (พ.ศ.2537) ประวัติศาสตร์โลกต้องจารึกเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่าดำมืดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
ในช่วงระยะเวลาเพียง 100 วัน กลุ่มชนชาติพันธุ์ Hutu ได้ทำการสังหารกลุ่มชาติพันธ์ Tutsi ในประเทศรวันดาไปเป็นจำนวนมาก โดยตัวเลขความเสียหายนั้น ก็ได้แก่
จำนวนผู้เสียชีวิตหนึ่งล้านคน มีสตรีถูกข่มขืนไปแล้ว 500,000 คน มีเด็กที่ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า 400,000 คน ซึ่งอัตราการสังหารในช่วงระยะเวลาเพียงสองเดือนนั้นสูงกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตในค่ายกักกันช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซะอีก และทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้นต่อหน้าประชาคมโลก
ก่อนอื่น เรามาลองดูข้อมูลคร่าวๆ ของประเทศรวันดาก่อนดีกว่า
ประเทศรวันดา
ประเทศรวันดา เป็นประเทศในทวีปแอฟริกาซึ่งมีประชากรอยู่อย่างหนาแน่น ภูมิประเทศส่วนมากเป็นภูเขา ทะเลสาป และทุ่งหญ้ากว้างใหญ่
สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์ในรวันดานั้นก็อาจจะแบ่งออกได้เป็นสามกลุ่ม
1.Hutu 2.Tutsi 3.Twa
กลุ่ม Hutu คือชนกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือชาวนาชาวไร่ กลุ่มที่มีจำนวนมากรองลงมาก็คือ Tutsi ส่วนที่น้อยที่สุดก็คือ Twa ซึ่งก็คือคนแคระที่อาศัยอยู่ในป่า
เยอรมนีได้ยึดครองรวันดาเป็นอาณานิคมในปีค.ศ.1884 (พ.ศ.2427) ส่วนเบลเยี่ยมซึ่งได้ยึดครองคองโกไปแล้ว ก็ได้ใช้สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นข้ออ้างในการเข้ารุกรานรวันดาในปีค.ศ.1916 (พ.ศ.2459)
ที่ผ่านมา กลุ่ม Hutu และ Tutsi นั้นมีความขัดแย้งกันมาอยู่ก่อนแล้ว และเจ้าอาณานิคมจากยุโรปก็ใช้ความขัดแย้งนี้เองให้เป็นประโยชน์ โดยมีการส่งเสริมให้เกิดการแบ่งแยกอย่างชัดเจน และเบลเยี่ยมก็ได้ออกบัตรประชาชนให้แก่ชาวรวันดา โดยในบัตรประชาชนจะระบุไว้ชัดเจนว่าผู้นั้นมีชาติพันธุ์อะไร
1
การจะเปลี่ยนชาติพันธุ์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ แม้แต่ชาวรวันดาที่มีฐานะร่ำรวยก็ไม่อาจทำได้ โดยแต่ละชาติพันธุ์ก็จะบ่งบอกถึงสถานะทางสังคมด้วย และชนชั้นปกครองก็ได้แก่กลุ่ม Tutsi
แต่แล้วในปีค.ศ.1959 (พ.ศ.2502) กลุ่ม Hutu ได้ลุกฮือขึ้นก่อจลาจล และสามปีต่อมา รวันดาก็สามารถปลดปล่อยตนเองจากเจ้าอาณานิคมได้ ได้รับอิสรภาพ
หลังจากนั้น กลุ่ม Hutu ซึ่งถูกกดขี่มานานก็ต้องการที่จะเอาคืน ต้องการล้างแค้น ดังนั้นจึงเกิดการสังหารหมู่ชาว Tutsi นับพัน
ในปีค.ศ.1934 (พ.ศ.2477) จำนวนประชากรชาวรวันดามีเพียง 1.6 ล้านคน แต่เมื่อผ่านมา 55 ปี ค.ศ.1989 (พ.ศ.2532) จำนวนประชากรชาวรวันดาก็มีมากถึง 7.1 ล้านคน ซึ่งการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรนี้เอง ก็ยิ่งทำให้ความขัดแย้งระหว่าง Hutu และ Tutsi ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ในปีค.ศ.1990 (พ.ศ.2533) “Rwandan Patriotic Front” หรือ “RFP” ซึ่งเป็นกลุ่มสนับสนุน Tutsi นำโดย ”Paul Kagame” ได้เริ่มต้นสงครามกลางเมืองในรวันดา
ในช่วงเวลาสามปีนับจากนั้น ก็เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและวุ่นวาย
Paul Kagame
ฝ่ายขวาของชนชั้นปกครองชาว Hutu ในรวันดาก็เตรียมตัว เตรียมพร้อมสำหรับการออกรบ และจะนำไปสู่เหตุการณ์ที่ต้องตราตรึงในประวัติศาสตร์โลก
กลุ่ม Hutu ได้ผลิตโฆษณาชวนเชื่อหรือโพรพากันด้าเพื่อต่อต้าน Tutsi ประชาชนก็ได้รับแจกจ่ายอาวุธต่างๆ ทั้งปืนไรเฟิล ระเบิด และมีดยาว อีกทั้งยังมีการฝึกการรบแก่กองกำลังเยาวชนอีกด้วย
วันที่ 6 เมษายน ค.ศ.1994 (พ.ศ.2537) เครื่องบินที่ประธานาธิบดีแห่งรวันดาโดยสารได้ถูกยิงตกลง และทุกคนบนเครื่องก็เสียชีวิต
1
รัฐบาล Hutu ได้ออกมากล่าวโทษกลุ่ม Tutsi ว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ และอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา กองทัพก็ได้ทำการสังหารนายกรัฐมนตรีรวันดารวมถึงนักการเมืองคนอื่นๆ
วันต่อมา กลุ่มชายฉกรรจ์ติดอาวุธครบมือได้ทำการปิดถนน ผู้ที่สัญจรผ่านไปมาต้องแสดงบัตรประชาชน หากบัตรประชาชนระบุว่าบุคคลนั้นคือชาว Tutsi ก็จะถูกยิงตายตรงนั้นทันที
1
ทหารซึ่งมีบัญชีรายชื่ิอชาว Tutsi ทุกคนก็ได้ออกไปเคาะบ้านแต่ละหลังตามบัญชี และสังหารชาว Tutsi ทุกคนที่พบ โดยเป้าหมายคือการสังการชาว Tutsi ทุกคนและลบเรื่องราวของชาว Tutsi ออกไปให้หมด
1
ในแถบชนบท ชาว Hutu และชาว Tutsi ก็อาศัยอยู่ร่วมกันมาเป็นเวลานานแล้ว แต่รัฐบาลก็ออกมาส่งเสริมให้ชาว Hutu สังหารเพื่อนบ้านชาว Tutsi และยึดที่ดินของชาว Tutsi มาเป็นของตนซะ
ชาว Tutsi ต้องหนีตายไปหลบในโบสถ์ ในขณะที่กองทัพ Hutu รออยู่ด้านนอก รอให้ชาว Tutsi เข้าไปในโบสถ์ให้หมดก่อน จากนั้นจึงค่อยสังหารด้วยระเบิดหรือจุดไฟเผาทั้งเป็น
สถานีวิทยุก็เอาด้วย ต่างเปิดเพลงปลุกใจเพื่อให้ทหารฮึกเหิมและสนุกสนาน เหล่าทหารจะทำการสังหารก่อนจะเต้นไปด้วยอย่างสนุกสนาน
สิ่งที่โหดร้ายอีกอย่าง คือมีการข่มขืนด้วย
กองกำลัง Hutu ได้ทำการข่มขืนสตรีจำนวนมาก และมีการตั้ง “กองกำลังข่มขืน” ขึ้น โดยกองกำลังนี้คือกลุ่มชายที่ติดเชื้อ HIV ซึ่งจะทำการข่มขืนสตรีเพื่อแพร่เชื้อ HIV
เรื่องราวโหดร้ายนี้ใช่ว่าจะเป็นความลับ ประชาคมโลกซึ่งนำโดยเบลเยี่ยม สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส ต่างทราบดีถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งหากจะเข้าไปแทรกแซงเพื่อห้ามปรามก็ทำได้ แต่ด้วยเหตุผลทางการเมือง ต่างฝ่ายจึงยังรีรอ
7 เมษายน ค.ศ.1994 (พ.ศ.2537) ซึ่งเป็นวันแรกของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ กลุ่ม Hutu ได้สังหารทหารเบลเยี่ยมไปจำนวน 10 คน เบลเยี่ยมจึงถอนกำลังออกมา
ทางด้านสหรัฐอเมริกาก็ยังลังเล แต่ฝรั่งเศสนั้นกลับไปเข้ากับฝ่าย Hutu ด้วยจุดประสงค์ที่จะรักษาฐานอำนาจและอิทธิพลของตนในแถบนี้ไว้ โดยในช่วงสองเดือนแรก ฝรั่งเศสได้ส่งอาวุธและช่วยซ้อมรบแก่กองกำลัง Hutu ด้วย
ทางด้านองค์การสหประชาชาติ (United Nations) ก็มีกองกำลังรักษาความสงบในรวันดา หากแต่หลังจากที่กองทัพเบลเยี่ยมถอนกำลังออกไป กองกำลังรักษาความสงบก็ไม่มีกำลังพลมากพอ อาวุธก็มีน้อย
ต่อมาในเดือนตุลาคม ค.ศ.1994 (พ.ศ.2537) กองกำลังเสริมของสหประชาชาติจำนวน 5,500 คนจึงถูกส่งเข้ามาเพื่อควบคุมสถานการณ์
เรื่องราวนี้จบลงหลังจากที่กลุ่ม RPF สามารถเอาชนะกองทัพรัฐบาลได้ในวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ.1994 (พ.ศ.2537) และชาว Hutu กว่าสองล้านคนก็ได้หนีออกจากรวันดาไปแล้วเพื่อหนีภัยสงคราม
กลุ่ม RPF เข้ายึดอำนาจและปกครองรวันดาเรื่อยมา และในปีค.ศ.2003 (พ.ศ.2546) รวันดาก็ได้ออกรัฐธรรมนูญที่ห้ามการกล่าวถึงเชื้อชาติของบุคคล และในบัตรประชาชนชาวรวันดา ก็ไม่มีการระบุว่าเป็นชาติพันธุ์ใดอีกต่อไป
และนี่ก็คือเรื่องราวที่โหดร้ายที่สุดเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านมานี้เอง
สั่งซื้อหนังสือ “ประวัติศาสตร์แห่งความหลอกลวง 5,000 ปีของการต้มตุ๋น ฉ้อโกง โกหก ปลอมแปลง” ได้ตามลิ้งค์นี้นะครับ
โฆษณา