18 ก.ค. เวลา 09:35 • หุ้น & เศรษฐกิจ

⚠️ วิกฤติวงการเทค! ไบเดนเตรียมแบน ASML ทำเซมิคอนดักเตอร์ทรุด ทำไมการผลิตชิปถึงสำคัญมากๆ

หลังจากมีข่าวว่าฝ่ายบริหารของไบเดนกำลังพิจารณาใช้ข้อจำกัดทางการค้าที่เข้มงวดที่สุด หากบริษัทต่างๆ เช่น Tokyo Electron และ ASML ยังคงให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงต่อไป ทำให้หุ้นเซมิคอนดักเตอร์ร่วงกันระนาวอย่างไม่ลืมหูลืมตา กลายเป็นปรากฏการณ์ sell first, ask (question) later
3
ดังนั้นวันนี้นิคกี้จะมาสรุปเรื่องราวทั้งหมดให้อ่านกันค่ะ ยาวแน่นอนๆ แต่ได้ความรู้แน่นๆกลับไปด้วย แต่ก่อนจะเข้าเรื่องไบเดน เราต้องไปทำความเข้าใจกันก่อนว่า ทำไมการผลิตชิปคอมพิวเตอร์จึงกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมาค่ะ
ชิปคอมพิวเตอร์เป็นเสมือนเครื่องยนต์ของเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล และความสามารถที่เพิ่มขึ้นของชิปคอมพิวเตอร์ช่วยให้เกิดเทคโนโลยีต่างๆขึ้น เช่น Generative AI ซึ่งก็ถูกคาดการณ์กันว่าจะมีศักยภาพในเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมต่างๆทั่วโลก
1
บทบาทที่สำคัญของชิปคอมพิวเตอร์ได้มีความเด่นชัดมากขึ้นไปอีกเมื่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตชิปในเอเชีย ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานด้านเทคโนโลยีทั่วโลกตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย หรือเกิดภาวะขาดแคลนชิปนั่นเอง ดังนั้นอุปกรณ์เหล่านี้จึงได้กลายเป็นจุดสนใจของทั่วโลกและตกอยู่ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกค่ะ
📌 ทำไมชิปจึงมีความสำคัญมาก?
ชิปคือ สิ่งที่จำเป็นในการประมวลผลและทำความเข้าใจกับข้อมูลจำนวนมหาศาล (Big Data) โดยกำลังก้าวเข้ามาแข่งขันกับน้ำมันในฐานะเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจโลกค่ะ โดยชิปนั้นทำขึ้นจากวัสดุกึ่งตัวนำ หรือที่เราเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า semiconductor โดยชิปสามารถทำหน้าที่ได้หลากหลายมากมายตามวัตถุประสงค์ของผู้ผลิต แต่หลักเราจะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
“ชิปหน่วยความจำ หรือ memory chip” ซึ่งจะใช้สำหรับเก็บข้อมูล และกระบวนการผลิตค่อนข้างเรียบง่าย และมีการซื้อขายเหมือนกับสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะที่อีกแบบนึงคือ “โลจิกชิป หรือ Logic Chip” ซึ่งจะใช้รันโปรแกรมและทำหน้าที่เป็นสมองของอุปกรณ์ ซึ่งก็จะมีความซับซ้อนและมีราคาแพงกว่าค่ะ
ปัญหามาเกิดหลังจากการมาของชิป AI ขั้นสูง เนื่องจากการเข้าถึงส่วนประกอบต่างๆ เช่น เครื่องเร่งความเร็ว AI อย่าง H100 ของ Nvidia Corp. ได้ถูกเชื่อมโยงกับความมั่นคงของชาติและความมั่งคั่งของบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Google และ Microsoft Corp. ของ Alphabet Inc. ในขณะที่พวกเขาต่างแข่งขันกันเพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดยักษ์และแย่งกันเป็นผู้นำในสิ่งที่ถูกมองว่าเป็นอนาคตของการประมวลผล
1
อย่างไรก็ตามแม้กระทั่งอุปกรณ์ในชีวิตประจำวันก็ยังต้องพึ่งพาชิปมากขึ้นเช่นกัน การกดปุ่มแต่ละครั้งในรถยนต์ที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ยังต้องใช้ชิปง่ายๆเพื่อแปลงการสัมผัสนั้นให้เป็นสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานแบตเตอรี่ทั้งหมดจำเป็นต้องมีชิปเพื่อแปลงและควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้าอีกเช่นกัน ทำให้ชิปกลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของเราตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอนค่ะ
2
📌 ทำไมจึงมีการต่อสู้แย่งชิงการผลิตชิป?
เทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำของโลกส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดในสหรัฐอเมริกา แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นไต้หวันและเกาหลีใต้ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำและครองการผลิตชิป ขณะที่จีนเองก็เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นในการสร้างชิปขึ้นมาใช้ด้วยตัวเอง ซึ่งนั่นทำให้อุตสาหกรรมชิปกลายเป็นจุดสนใจของวอชิงตัน และพยายามจำกัดการเพิ่มขึ้นของคู่แข่งในเอเชีย พร้อมกับจัดการกับสิ่งที่วอชิงตันระบุว่าเป็นข้อกังวลด้านความมั่นคงของชาติ
โดยสหรัฐฯได้ใช้มาตรการควบคุมการส่งออกและภาษีเพื่อควบคุมความทะเยอทะยานด้านชิปของจีน นอกจากนี้ยังจัดสรรเงินจำนวนมหาศาลของรัฐบาลเพื่อชักจูงและโน้มน้าวให้บริษัทต่างๆมาผลิตชิปที่สหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาโรงงานบางแห่งในเอเชียตะวันออกที่อาจตกอยู่ในอันตรายในอนาคต ขณะที่ประเทศอื่นๆอีกหลายประเทศ เช่น เยอรมนี สเปน อินเดีย และญี่ปุ่น ก็กำลังเดินตามแนวทางของสหรัฐฯเช่นกัน
📌 ใครเป็นคนคุมอุปทาน?
การผลิตชิปกลายเป็นธุรกิจที่ล่อแหลมและผูกขาดมากขึ้นเรื่อยๆ โดยการสร้างโรงงานแห่งใหม่มีราคาสูงกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ แถมยังต้องใช้เวลาหลายปีในการสร้างและต้องดำเนินการผลิตตลอด 24 ชั่วโมงต่อวันจึงจะสามารถทำกำไรได้ ดังนั้นด้วยขนาดการลงทุนที่มหาศาลขนานนี้ ทำให้จำนวนบริษัทที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยและมีเงินทุนเพียงพอจะเหลือเพียง 3 แห่งในโลกเท่านั้น ได้แก่ Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. (TSMC), Samsung Electronics Co. ของเกาหลีใต้ และ Intel Corp. ของสหรัฐอเมริกา
TSMC และ Samsung ทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตชิป หรือที่เราเรียกว่า foundry โดยจะให้บริการผลิตชิปให้กับบริษัทต่างๆทั่วโลก ขณะที่บริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลกเองก็ต้องพึ่งพาการเข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตชิปที่ดีที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่ก็ตั้งอยู่ในไต้หวันอีกเช่นกัน (จ้าง TSMC) ขณะที่ Intel ที่เมื่อก่อนจะมุ่งเน้นไปที่การผลิตชิปเพื่อใช้งานเองเท่านั้น แต่ตอนนี้ Intel ก็กำลังพยายามแข่งขันกับ TSMC และ Samsung ในธุรกิจการผลิตชิปให้กับลูกค้าเช่นกัน
ด้านล่างของห่วงโซ่อุปทาน มีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ผลิตสิ่งที่เรียกว่า “ชิปแอนะล็อก หรือ analog chip” ซึ่งบริษัทต่างๆ เช่น Texas Instruments Inc และ STMicroelectronics NV เป็นผู้ผลิตชั้นนำในอุตสาหกรรมนี้ ชิปเหล่านี้จะทำสิ่งต่างๆ เช่น ปรับพลังงานภายในสมาร์ทโฟน ควบคุมอุณหภูมิ และเปลี่ยนเสียงเป็นสัญญาณไฟฟ้า
1
ซึ่งนี่คือพื้นที่ที่จีนกำลังตั้งเป้าที่จะลงทุนมหาศาลเพื่อเพิ่มการผลิตและแย่งส่วนแบ่งตลาด แม้ว่าจะถูกปิดกั้นไม่ให้เข้าถึงเครื่องจักรจำนวนมากที่จำเป็นในการผลิตชิ้นส่วนที่ล้ำสมัยมากขึ้นก็ตาม
📌 Chip War
แม้ว่าจีนจะทุ่มเงินมากมาย แต่ผู้ผลิตชิปของประเทศยังคงต้องพึ่งพาเทคโนโลยีของสหรัฐฯ และเทคโนโลยีต่างประเทศอื่นๆอยู่ดี ขณะที่จีนเองก็สามารถเข้าถึงอุปกรณ์สำหรับการออกแบบและผลิตชิปในต่างประเทศได้ลดน้อยลงเรื่อยๆ และ Chip War ก็เริ่มต้นขึ้น โดยมีเหตุการณ์สำคัญๆดังนี้ค่ะ
1
🇺🇸 สหรัฐฯ ได้บังคับใช้กฏควบคุมการส่งออกที่เข้มงวดมากขึ้นในปี 2023 สำหรับชิปและอุปกรณ์การผลิตชิปที่ล้ำสมัยที่สุด เพื่อหยุดยั้งจีนจากการพัฒนาขีดความสามารถที่วอชิงตันมองว่าเป็นภัยคุกคามทางทหาร เช่น Supercomputer และ AI นอกจากนี้สหรัฐฯยังได้กดดันพันธมิตรให้จำกัดจีนไม่ให้เข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงที่รองลงมาที่เรียกว่า เครื่อง immersion deep-ultraviolet (DUV) ขณะเดียวกันก็เคลื่อนไหวเพื่อจำกัดการนำเข้าชิปจากจีนอีกเช่นกัน
🇨🇳 จีนสามารถกักตุนเครื่องจักร DUV ได้จำนวนมากก่อนที่ข้อจำกัดการส่งออกจะเริ่มบังคับใช้ ขณะที่ในเดือนกรกฎาคม 2024 วอชิงตันได้กดดันพันธมิตรให้มีการสั่งห้ามผู้ผลิตอุปกรณ์การผลิตชิป เช่น ASML Holding NV และ Tokyo Electron Ltd. จากการให้บริการและซ่อมแซมเครื่องจักรเหล่านั้น
🇺🇸 บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีน รวมถึง Huawei Technologies Co. ถูกจัดให้อยู่ใน US Entity List ซึ่งหมายความว่าซัพพลายเออร์เทคโนโลยีชิปของอเมริกาจะต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลก่อน ถึงจะสามารถขายให้สินค้าให้กับบริษัทที่อยู่ในบัญชีดำเหล่านี้ได้
1
🇺🇸 นักการเมืองสหรัฐฯตัดสินใจว่าพวกเขาจำเป็นต้องทำมากกว่าแค่การพยายามหยุดยั้งจีน และได้ออกพระราชบัญญัติชิปและวิทยาศาสตร์ปี 2022 ซึ่งจะเป็นการจัดสรรเงินช่วยเหลือโดยตรงจำนวน 3.9 หมื่นล้านดอลลาร์ รวมถึงการกู้ยืมและการค้ำประกันเงินกู้มูลค่า 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อฟื้นฟูการผลิตชิปในสหรัฐฯอเมริกา
1
🇨🇳 จีนเองก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ โดย Huawei กำลังสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่เป็นความลับทั่วประเทศจีน ซึ่งเป็นเครือข่ายการผลิตเงาที่จะเป็นช่องโหว่ให้บริษัทที่ถูกขึ้นบัญชีดำหลบเลี่ยงการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ และส่งเสริมความทะเยอทะยานทางเทคโนโลยีของประเทศ โดยในปี 2023 Huawei ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนที่ขับเคลื่อนโดยชิปประมวลผลที่ถูกผลิตขึ้นด้วยเทคโนโลยี 7 นาโนเมตร ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าที่กฎของสหรัฐอเมริกาอนุญาต
🇪🇺 สหภาพยุโรปได้จัดทำแผนมูลค่า 4.63 หมื่นล้านดอลลาร์ของตนเองเพื่อขยายกำลังการผลิตชิปในท้องถิ่น โดยคณะกรรมาธิการยุโรปประมาณการว่า การลงทุนภาครัฐและเอกชนในภาคส่วนนี้จะมีมูลค่ารวมกันกว่า 1.08 แสนล้านดอลลาร์ โดยเป้าหมายคือการเพิ่มผลผลิตของทั้งกลุ่มเป็น 2 เท่า และเป็น 20% ของตลาดโลกภายในปี 2030
🇮🇳 ในเดือนกุมภาพันธ์ อินเดียอนุมัติการลงทุนที่ขับเคลื่อนโดยกองทุนรัฐบาลมูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงการประมูลของ Tata Group เพื่อสร้างโรงงานผลิตชิปรายใหญ่แห่งแรกของประเทศ
🇸🇦 ในซาอุดิอาระเบีย กองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะกำลังจับตาดู "การลงทุนขนาดใหญ่" ที่ไม่ระบุรายละเอียด เพื่อเริ่มต้นความทะเยอทะยานของราชอาณาจักรในด้านชิป ในขณะที่พยายามกระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจออกไปนอกเหนือจากการขายน้ำมัน
🇯🇵 กระทรวงการค้าของญี่ปุ่นได้รับเงินทุนประมาณ 2.53 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับแคมเปญชิปที่เปิดตัวในปี 2021 โดยโครงการจะประกอบไปด้วยโรงงานของ TSMC สองแห่งทางตอนใต้ของคุมาโมโตะ และโรงงานอีกแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของฮอกไกโด ซึ่งบริษัท Rapidus Corp. ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนในญี่ปุ่นตั้งเป้าที่จะผลิต Logic Chip ขนาด 2 นาโนเมตรจำนวนมากใน 2027
📌 อะไรคือความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดต่อการผลิตชิปทั่วโลก?
ความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นกับไต้หวัน ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงส่วนใหญ่ของโลก และชิปรุ่นรองๆอีกจำนวนมากคือความเสี่ยงหลักค่ะ โดยจีนได้อ้างสิทธิ์ในเกาะแห่งนี้ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งเพียง 100 ไมล์ว่าเป็นดินแดนของตนเองมานานแล้ว และขู่ว่าจะเข้ารุกรานเพื่อป้องกันเอกราชของตนเอง ขณะที่สหรัฐฯสัญญาว่าจะปกป้องไต้หวันหากจีนมีการบุกไต้หวัน
สงครามอาจทำให้ TSMC ยักษ์ใหญ่ด้านการผลิตชิปของไต้หวันถูกตัดขาดจากลูกค้าทั่วโลก โดยบริษัทเกือบจะสร้างโมเดลธุรกิจ “foundry” ขึ้นมาเพียงลำพัง (การสร้างชิปที่ออกแบบโดยผู้อื่น) ซึ่งลูกค้ารายใหญ่อย่าง Apple Inc. สร้างรายได้และยอดขายมหาศาลให้กับ TSMC เพื่อสร้างความเชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม และตอนนี้ทั้งโลกก็พึ่งพาในสิ่งนี้ ซึ่งทำให้ TSMC ได้แซงหน้า Intel ในแง่ของรายได้ในปี 2022
ดังนั้นแล้วการทดแทนความยิ่งใหญ่และทักษะของ TSMC อาจต้องใช้เวลาหลายปีและมีค่าใช้จ่ายมหาศาล
‼️ ไบเดน เตรียมแบน ASML ด้วย FDPR ส่งหุ้น Semi ร่วงทั้งกระดาน
สหรัฐฯ กำลังพิจารณาว่าจะบังคับใช้มาตรการที่เรียกว่า Foreign Direct Product Rule หรือ FDPR เพื่อกดดันประเทศพันธมิตรหรือไม่ ผู้ที่คุ้นเคยกับการสนทนาล่าสุดกล่าว โดยกฎ FDPR จะอนุญาตให้สหรัฐฯกำหนดการควบคุมผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในต่างประเทศที่ใช้เทคโนโลยีของอเมริกาแม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
1
การเคลื่อนไหวดังกล่าวซึ่งพันธมิตรมองว่าเข้มงวด จะถูกนำมาใช้เพื่อควบคุมการทำธุรกิจในจีนของบริษัท Tokyo Electron ของญี่ปุ่น และ ASML ของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งผลิตเครื่องจักรที่ผลิตชิปซึ่งมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมและขายให้กับจีน โดยทางสหรัฐฯได้นำเสนอแนวคิดนี้ต่อเจ้าหน้าที่ในโตเกียวและกรุงเฮก ว่าเป็นผลลัพธ์ที่น่าจะเป็นไปได้มากขึ้นหากทั้ง 2 ประเทศไม่เข้มงวดมาตรการด้วยตนเอง ตามผู้ขอไม่เปิดเผยตัวตนเนื่องจากการหารือเป็นเรื่องส่วนตัว
ผลกระทบจากข่าวดังกล่าวคือ หุ้น Tokyo Electron ร่วงลง 7.5% ส่งผลให้หุ้น Nikkei 225 ของญี่ปุ่นปรับตัวลง ขณะที่ผู้ให้บริการอุปกรณ์ชิปรายอื่นๆ เช่น Lasertec Corp. และ Screen Holdings Co. ก็ติดอันดับหนึ่งในหุ้นที่ปรับตัวลงแรงที่สุดเช่นกัน
ขณะที่ราคาของหุ้น ASML ปรับตัวลดลง 11% แม้ว่าบริษัทจะรายงานยอดการจองในไตรมาส 2 ที่ดีกว่าที่คาด โดยมูลค่าตลาดหายไปถึง 4.27 หมื่นล้านยูโร (4.67 หมื่นล้านดอลลาร์) นับเป็นการร่วงลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020
หุ้นของ Applied Materials Inc., Lam Research Corp. และ KLA Corp. ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ชิปรายใหญ่ที่สุดในอเมริกา 3 ราย ก็ร่วงลงเช่นกันในวันพุธ โดย Applied Material ซึ่งใหญ่ที่สุดใน 3 ชื่อนี้ ปรับตัวลดลงมากถึง 7.8% ซึ่งเป็นการร่วงลงระหว่างวันเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน
⚠️ เบื้องหลังแนวคิดการออกมาตรการเพิ่มเติม
ความเป็นไปได้ของการออกกฎการค้าที่เข้มงวดยิ่งขึ้นอาจมีสาเหตุมาจากการที่ความพยายามที่จะสร้างแนวร่วมเพื่อต่อต้านความทะเยอทะยานด้านชิปของจีนนั้นไม่เพียงพอนั่นเองค่ะ โดยสหรัฐฯได้บังคับใช้ข้อจำกัดอย่างกว้างขวางในการขายชิปขั้นสูงและอุปกรณ์การผลิตให้กับจีนในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2022 และยังได้ทำให้มาตรการเหล่านั้นเข้มงวดมากขึ้นในอีกหนึ่งปีต่อมา โดยเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์เพื่อป้องกันไม่ให้ปักกิ่งได้รับเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สามารถส่งเสริมกองทัพของตนได้
กฎเกณฑ์เหล่านั้นมีผลกระทบในวงกว้าง พวกเขาได้สร้างความเสียหายในเชิงปริมาณกับบริษัทจีน เช่น Huawei Technologies Co. และ Semiconductor Manufacturing International Corp. ซึ่งทำให้บริษัทเหล่านั้นจัดหาชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่สำคัญยากมากขึ้น
อย่างไรก็ตามนโยบายดังกล่าวยังทำให้บริษัทอเมริกันต้องสูญเสียรายได้หลายพันล้านดอลลาร์เช่นกัน โดยอุตสาหกรรมชิปของสหรัฐฯแย้งว่าตนได้แบกรับภาระส่วนใหญ่อย่างไม่ยุติธรรม และจำเป็นต้องมีความร่วมมือกับพันธมิตรมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้จีนค้นหาวิธีแก้ไขหรือหลบเลี่ยงมาตรการที่มีอยู่
ผู้ผลิตอุปกรณ์ชิปในอเมริกา ได้แก่ Applied Materials, Lam และ KLA ได้ชูประเด็นดังกล่าวขึ้นมาในการประชุมหลายครั้งล่าสุดกับเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯตามข้อมูลของผู้ที่คุ้นเคยกับสถานการณ์ โดยพวกเขาแย้งว่านโยบายการค้าในปัจจุบันกำลังส่งผลย้อนกลับ และสร้างความเสียหายแก่บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ของอเมริกา ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถหยุดยั้งความก้าวหน้าของจีนได้มากเท่ากับที่รัฐบาลสหรัฐฯคาดหวังไว้
1
ประเด็นที่ Lam, KLA และ Applied Materials ยื่นต่อเจ้าหน้าที่ของ BIS (Bureau of Industry and Security) และ NSC (National Security Council) เป็นการโต้แย้งว่าผู้ผลิตชิปของจีนหลีกเลี่ยงความต้องการเครื่องจักรของสหรัฐฯ โดยการหันไปพึ่งพาอุปกรณ์และวิศวกรจากประเทศอื่นๆ ตามที่ผู้ที่คุ้นเคยกับการประชุมระบุ
1
บริษัทต่างๆยกตัวอย่างถึงกรณีของ Yangtze Memory Technologies Co. ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปหน่วยความจำที่ทันสมัยที่สุดของจีน และถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำในปี 2022 หลังจากการล็อบบี้อย่างเข้มข้นจากบริษัท Micron Technology Inc. ผู้ผลิตชิปหน่วยความจำสัญชาติอเมริกัน
1
ซึ่งในตอนนั้นการขึ้นบัญชีดำได้ทำให้บริษัทจีนรู้สึกถึงผลกระทบโดยทันที และถูกบังคับให้เลิกจ้างพนักงาน 10% ภายใน 2 เดือนหลังจากการควบคุมมีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ตาม YMTC ยังคงมีความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง โดยบริษัทในสหรัฐฯกล่าวว่า สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นล่าสุดของ Huawei ใช้ชิปของ YMTC ตามรายงานของ Bloomberg
ขณะที่ Lam, KLA และ Applied Materials หวังว่ารายงานอิสระจำนวนหนึ่งจะช่วยสนับสนุนข้อเรียกร้องของพวกเขาได้ นอกจากนี้บันทึกของ Barclays Plc ในเดือนพฤศจิกายนกล่าวว่าการควบคุมการส่งออก “ดูเหมือนจะเป็นการต่อสู้ที่พ่ายแพ้ อย่างน้อยก็ในตอนนี้”
และหลังจากนั้นในเดือนเมษายน การวิเคราะห์จาก Federal Reserve Bank of New York ก็พบอีกว่า การควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ได้ส่งผลกระทบต่อซัพพลายเออร์ในอเมริกาคิดเป็นมูลค่าตลาดรวมกันถึง 1.3 แสนล้านดอลลาร์ และการที่ซัพพลายเออร์ไม่สามารถหาลูกค้ารายอื่นมาทดแทนได้นั้นอาจ “ส่งผลเสียต่อบริษัทมากกว่าที่มาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯพยายามปกป้อง” รายงานระบุ
อย่างไรก็ตามบริษัทก็ไม่ต้องการให้ฝ่ายบริหารใช้ FDPR โดยพวกเขากลัวว่ามาตรการดังกล่าวจะยั่วยุญี่ปุ่นและเนเธอร์แลนด์ให้มีการต่อต้านและหยุดความร่วมมือ นอกจากนี้ยังทำธุรกิจต่างๆทั่วโลกมีแรงจูงใจมากขึ้นในการลดการพึ่งพาผลิตภัณฑ์ของอเมริกาออกจากห่วงโซ่อุปทานของตนเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดใหม่ที่อาจเกิดขึ้นเช่นกัน
โดยทางเลือกหนึ่งที่ถูกผลักดันโดยอุตสาหกรรมชิปของสหรัฐฯคือ การขยายเกณฑ์สำหรับสิ่งที่เรียกว่า unverified list ซึ่งเป็นกรอบการทำงานที่กำหนดให้บริษัทต่างๆต้องขอใบอนุญาตเพื่อส่งออกเทคโนโลยีที่ถูกจำกัดบางอย่าง อย่างไรก็ตามบริษัทชิปในสหรัฐฯไม่ได้แนะนำให้เพิ่ม ASML และ Tokyo Electron เข้าไปในรายการโดยอัตโนมัติ แต่การเคลื่อนไหวดังกล่าวจะส่งสัญญาณว่าทั้งคู่อาจต้องเผชิญกับการควบคุม หากพวกเขายังคงให้บริการแก่ลูกค้าชาวจีนต่อไป โดยที่สหรัฐฯถือว่ามีความเสี่ยงด้านความมั่นคงของชาติ
แต่ด้วยเสียงเรียกร้องที่เพิ่มมากขึ้นในสหรัฐฯให้มีการดำเนินการเพิ่มเติม ผู้ร่างกฎหมายได้สั่งให้สำนักอุตสาหกรรมและความมั่นคงรับแนวคิด unverified list ไปรับผิดชอบ โดย “คณะกรรมการกังวลกับรายงานว่า บริษัทต่างประเทศในประเทศพันธมิตรยังคงใช้ประโยชน์จากการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯและความพยายามของสหรัฐฯในการต่อต้านการได้มาซึ่งเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างร้ายกาจ” ข้อเสนอดังกล่าวระบุ
⛔️ FDPR มีโอกาสแค่ไหน?
ฝ่ายบริหารของไบเดนอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบค่ะ แม้ว่าบริษัทในสหรัฐฯรู้สึกว่าข้อจำกัดในการส่งออกไปยังจีนได้ลงโทษพวกเขาอย่างไม่ยุติธรรมและกำลังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในทางกลับกัน พันธมิตรมองว่ามีเหตุผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่จะปรับเปลี่ยนนโยบายตามไบเดนในเมื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เดือน
ดังนั้นแล้วเป้าหมายจริงน่าจะเป็นแค่ การโน้มน้าวพันธมิตร (ที่ได้จำกัดการจัดส่งอุปกรณ์สำคัญบางส่วนไปแล้ว) ให้จำกัดความสามารถของตนเองในการให้บริการและซ่อมแซมอุปกรณ์ที่มีอยู่แล้วในจีน (ที่ถูกซื้อไปกักตุนไว้ก่อนหน้านี้)
📍บริษัทสหรัฐฯถูกห้ามไม่ให้ดำเนินการซ่อมบำรุงอยู่แล้วในตอนนี้ แค่จะห้ามพันธมิตรด้วย
นอกจากนี้สหรัฐฯกำลังชั่งน้ำหนักการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อบริษัทชิปของจีนบางแห่งตามที่ Bloomberg ได้รายงานไปก่อนหน้านี้อีกเช่นกัน
🤬 แรงต่อต้านรุนแรง
ตัวแทนของ ASML ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการสนทนาดังกล่าว ซึ่งเกี่ยวข้องกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ(NSC: National Security Council) และ สำนักงานอุตสาหกรรมและความมั่นคงของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ (BIS: Bureau of Industry and Security) ขณะที่โฆษกหญิงของ Tokyo Electron กล่าวว่าบริษัทไม่อยู่ในฐานะที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ “ประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์”
ส่วนโฆษกของ NSC ซึ่งให้คำปรึกษาแก่ประธานาธิบดีในเรื่องความมั่นคง กล่าวว่า ลักษณะของการประชุม “ไม่ได้สะท้อนถึงการหารือที่เรามีกับหุ้นส่วนและพันธมิตรของเรา” ขณะที่ตัวแทนของ BIS ไม่มีความคิดเห็นในทันที
ขณะที่ หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนกล่าวเมื่อวันพุธที่งานแถลงข่าวในกรุงปักกิ่งว่า สหรัฐฯ “ทำให้การค้ากลายเป็นการเมืองและแนวคิดเรื่องความมั่นคงของชาติ” นอกจากนี้หลินยังกล่าวอีกว่า “ประเทศที่เกี่ยวข้อง” ควร “ต่อต้านการบีบบังคับอย่างแน่วแน่ และร่วมกันรักษาคำสั่งการค้าระหว่างประเทศที่ยุติธรรมและเปิดกว้าง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ระยะยาวของพวกเขาเอง”
เจ้าหน้าที่รัฐบาลในโตเกียวได้กล่าวไปแล้วว่า พวกเขาจะไม่บังคับใช้ความพยายามดังกล่าว ขณะที่ตัวแทนกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น เช่นเดียวกับกระทรวงการค้าต่างประเทศของเนเธอร์แลนด์ นอกจากนี้ตัวแทนจาก Applied Materials, Lam และ KLA ก็ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเช่นกัน
แม้จะสร้างความเดือดดาลก็ตาม คนที่คุ้นเคยกับความคิดของ ASML กล่าวว่านโยบายดังกล่าวอาจจุดชนวนให้เกิดวิกฤตทางการทูตระหว่างกรุงเฮกและวอชิงตัน ในขณะเดียวกัน โตเกียวอิเลคตรอนได้ขอให้เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นระงับแผนดังกล่าวไว้ก่อน บุคคลอีกคนนึงกล่าว และบริษัทต้องการการรับประกันว่า ASML จะเป็นส่วนหนึ่งของตัดสินใจใดๆก็ตาม
📊 ทำไม ASML ร่วงหนักที่สุด
ASML Holding NV ปรับตัวลงแรงจากประเด็นดังกล่าว แม้ว่าการเติบโตของปริมาณการสั่งซื้อของบริษัทสัญชาติดัตช์จะดีขึ้นในไตรมาสที่แล้ว ที่มียอดจองเพิ่มขึ้น 54% ในไตรมาส 2 จากช่วงสามเดือนก่อนหน้าเป็น 5.57 พันล้านยูโร (6.1 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งสูงกว่าที่ประมาณการไว้
ขณะที่ ASML คาดว่ายอดขายในไตรมาสปัจจุบันจะอยู่ระหว่าง 6.7 พันล้านถึง 7.3 พันล้านยูโร ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 7.5 พันล้านยูโร นอกจากนี้บริษัทยืนยัน guidance ก่อนหน้านี้ว่า ยอดขายจะทรงตัวในปีนี้ ก่อนที่จะกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2025
นอกจากนี้ Christophe Fouquet ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าวในแถลงการณ์“ปัจจุบันเราเห็นการพัฒนาที่แข็งแกร่งใน AI ซึ่งผลักดันการฟื้นตัวและการเติบโตของอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ เหนือกว่ากลุ่มตลาดอื่นๆ”
ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจจากลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ ASML ช่วยสนับสนุนความต้องการอุปกรณ์ของบริษัท โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. กล่าวว่ายอดขายในไตรมาสที่ 2 เติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2022 โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตของ AI ที่กระตุ้นให้เกิดการลงทุน Data Center ทั่วโลก ส่งผลให้ยอดขายไปยังไต้หวันเพิ่มขึ้น 290 ล้านยูโรในไตรมาสนี้ เนื่องจากความต้องการอุปกรณ์ขั้นสูงก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ทั้งนี้ไตรมาสที่แล้วถือเป็นไตรมาสแรกของ ASML ภายใต้การบริหาร Fouquet ซึ่งเข้ามารับช่วงต่อเมื่อ Peter Wennink เกษียณในเดือนเมษายน โดยเขาพยายามสร้างสมดุลระหว่างการกดดันของสหรัฐฯเพื่อควบคุมการส่งออกสำหรับจีน และความจำเป็นต้องขายอุปกรณ์ในตลาดที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทต่อไป
โดยแรงกดดันของสหรัฐฯ ที่จะชะลอความก้าวหน้าของปักกิ่งในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้เนเธอร์แลนด์สั่งห้ามการส่งออกเครื่องจักรที่ทันสมัยที่สุดเป็นอันดับ 2 ของ ASML ซึ่งก็คือ DUV lithography เมื่อต้นปีนี้
1
อย่างไรก็ตาม มาตรการควบคุมการเข้าถึงชิปก่อนหน้านี้ที่มุ่งเป้าไปที่การส่งออกของ ASML ไปยังจีนไม่ได้กระทบต่อความต้องการจากจีน โดยจีนคิดเป็นเกือบ ‼️ครึ่งหนึ่ง‼️ของรายได้ของ ASML ในไตรมาส 2 และยอดขายในประเทศเพิ่มขึ้น 21% จากช่วงก่อนหน้า โดยปักกิ่งได้ซื้อชุดอุปกรณ์รุ่นเก่าที่ไม่ถูกกีดกันโดยข้อจำกัดเพื่อผลิตเซมิคอนดักเตอร์ประเภทที่ล้ำสมัยมากขึ้น
1
ทั้งนี้บริษัทกล่าวว่ายอดขายในจีนมากถึง 15% ในปีนี้จะได้รับผลกระทบจากกฎควบคุมการส่งออกที่บังคับใช้ในเดือนมกราคม ขณะที่ ASML ไม่เคยได้รับอนุญาตให้ขายเทคโนโลยีอัลตราไวโอเลตขั้นสูงสุด (EUV) ให้กับจีน
อย่างไรก็ตาม ASML ยังคงให้บริการเครื่องที่จีนซื้อไปก่อนหน้าที่ข้อจำกัดต่างๆจะมีผลบังคับใช้ ซึ่งทำให้ฝ่ายบริหารของไบเดนไม่พอใจ และได้บอกกับพันธมิตรว่ากำลังพิจารณาใช้กฎ Foreign Direct Product Rule ซึ่งช่วยให้สหรัฐฯ สามารถกำหนดการควบคุมผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากต่างประเทศซึ่งใช้เทคโนโลยีของอเมริกาแม้เพียงเล็กน้อย หากแนวทางปฏิบัติดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไป
🎯 มุมมองส่วนตัว
มาตรการที่ฝ่ายบริหารของไบเดนได้มีการพูดถึงล่าสุดนั้น จะเน้นไปที่กลุ่มผู้ผลิตอุปกรณ์ผลิตชิปในต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งในทีนี้คือ ASML และ Tokyo Electron นั่นเองค่ะ ซึ่งทั้ง 2 บริษัทมีรายได้หลักมาจากจีน โดยทางด้าน ASML มีสัดส่วนถึง 49% และ Tokyo Electron มีสัดส่วนถึง 44% ทำให้ราคาหุ้นของทั้ง 2 บริษัทได้รับผลกระทบมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม นิคกี้คิดว่า สหรัฐฯน่าจะต้องการแค่กดดันให้ทั้ง 2 บริษัทลดการให้บริการบำรุงรักษาและซ่อมแซมอุปกรณ์และเครื่องจักรขั้นสูงที่ขายให้กับจีนไปก่อนหน้านี้มากกว่า และไม่ได้ถึงขึ้นที่จะเข้าไปควบคุมการขายอุปกรณ์ไปยังจีนเพิ่มเติมแต่อย่างใด ส่งผลให้สัดส่วนรายได้ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมีไม่เยอะนั่นเองค่ะ
โดยทางด้าน Bank Of America ระบุว่า “สมมติว่าการบำรุงรักษาคิดเป็นประมาณ 14% ของยอดขาย และฐานการติดตั้งในประเทศจีนซึ่งมีสัดส่วนที่ 20% เมื่อดูจากรายได้ในอดีต การห้ามไม่ให้มีการบำรุงรักษาอุปกรณ์ในจีนจะทำให้รายได้ของ ASML ลดลง 3%“
นอกจากนี้เองเพื่อนๆจะเห็นแล้วว่า มีการต่อต้านจากหลายๆฝ่ายไม่ให้ใช้มาตรการ FDPR อีกเช่นกัน เพราะจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะขัดแย้งกับพันธมิตรของตนเอง และมีความเสี่ยงที่พันธมิตรอาจจะไม่ตอบรับด้วยเช่นกัน เนื่องจากสหรัฐฯใกล้ถึงเวลาเลือกตั้งแล้ว และไบเดนเองมีโอกาสที่จะไม่ได้ไปต่อในสมัยที่ 2 มากขึ้นเรื่อยๆ ขืนทำออกไปแล้วไม่มีใครทำตามจะยิ่งหน้าแหกเปล่าๆ
1
ดังนั้นแล้ว นิคกี้คิดว่า ตลาดอ่อนไหวกับประเด็นดังกล่าวมากเกินไป ประกอบการรายได้และกำไรของอุตสาหกรรมชิปยังคงอยู่บนเส้นทางการเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากการมาของ AI แต่สำหรับใครที่รอ Buy on Dip นิคกี้แนะนำว่าให้หลบหุ้น ASML และ Tokyo Electron ไปก่อน และไปเล่นหุ้นชิปตัวอื่นๆแทน เพราะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงค่ะ
📊 ผลประกอบการ TSMC ดีกว่าคาด ปรับ guidance ขึ้นอีก
Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. ได้เพิ่มการคาดการณ์การเติบโตของรายได้ทั้งปี หลังจากที่ผลประกอบการออกมาเกินคาด หลังกระแสการใช้จ่ายด้าน AI ทั่วโลกยังแข็งแกร่ง
ผู้ผลิตชิปสำหรับ Apple Inc. และ Nvidia Corp. ขณะนี้คาดว่ายอดขายจะเติบโตมากกว่าระดับสูงสุดในช่วง 20% กลางๆที่เคยแนะนำไว้ก่อนหน้านี้ โดย TSMC คาดว่ารายรับจะสูงถึง 2.32 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสนี้ ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และได้ลดกรอบคาดการณ์การใช้จ่ายด้านทุนให้แคบลง ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำคัญว่า TSMC มั่นใจกับระดับความต้องการในอนาคตมากขึ้น เป็น 30,000 ล้านดอลลาร์ถึง 32,000 ล้านดอลลาร์ จากระดับต่ำสุดที่ 28,000 ล้านดอลลาร์ก่อนหน้านี้
แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นบ่งบอกถึงความเชื่อมั่นของ TSMC ต่อการมีอายุยืนยาวของ AI Boom ที่เริ่มขึ้นในปลายปี 2022 ด้วยการถือกำเนิดของ ChatGPT จาก OpenAI ซึ่งได้กระตุ้นให้บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีระดับโลกตั้งแต่ Microsoft Corp. ไปจนถึง Baidu Inc. หันมาเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ซึ่งส่วนใหญ่ขับเคลื่อนโดย AI Accelerator จาก Nvidia
ความคาดหวังของตลาดเพิ่มขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์ก่อนรายงานของ TSMC หลังจากตลาดสมาร์ทโฟนที่กว้างขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันสำคัญของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวัน กำลังอยู่บนเส้นทางของการฟื้นตัว โดย Apple ให้คำแนะนำเชิงบวกแก่ซัพพลายเออร์เกี่ยวกับยอดขาย iPhone 16 ที่กำลังจะมาถึง โดยพิจารณาจากจุดแข็งที่เป็นไปได้ของบริการ AI ใหม่ ซึ่งนั่นได้ช่วยให้ TSMC รายงานผลกำไรไตรมาสเดือนมิถุนายนออกเพิ่มขึ้นเกินคาดถึง 36%
รายรับสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น NT$247.8 พันล้าน (7.6 พันล้านดอลลาร์) หลังจากที่บริษัทเปิดเผยว่ายอดขายในไตรมาส 2 เติบโตเร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2022
ถ้าใครยังอ่านไม่จุใจ ไปต่อกับ 🎯 ทำไม AI ถึงแพงโคตร? ได้ล่างค่ะ
โฆษณา