20 ก.ค. เวลา 05:48 • ประวัติศาสตร์

“ทาเมอร์เลน (Tamerlane)” เทพเจ้าแห่งการทำลายล้าง

ในฤดูร้อนค.ศ.1941 (พ.ศ.2484) ทางการโซเวียตได้สั่งให้ขุดหลุมศพในเมืองซามาร์แคนด์ ประเทศอุซเบ
กิสถาน ท่ามกลางการเตือนของผู้ที่เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติว่าที่นี้มีอาถรรพ์ มีคำสาปแช่ง
1
นักโบราณคดีได้ทำการเปิดสุสานเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ.1941 (พ.ศ.2484) และพบว่าบนโลงศพหินนั้นสลักข้อความซึ่งแปลได้ว่า
“เมื่อข้าฟื้นคืนจากความตาย โลกจะสั่นสะเทือน“
หลังจากนั้นอีกเพียงแค่สองวัน เยอรมนีก็ได้บุกรุกรานสหภาพโซเวียต ทางการโซเวียตจึงเชื่อว่านี่เกิดจากคำสาป และให้นำศพที่ขุดขึ้นมากลับคืนสู่สุสาน
1
คำถามก็คือ ศพที่ขุดขึ้นมาและสร้างความหวาดกลัวให้ผู้คนแม้กระทั่งตัวตายไปแล้วผู้นี้เป็นใคร
ลองมาหาคำตอบกันครับ?
ชายผู้เป็นเจ้าของร่างที่ถูกขุดขึ้นมาคือ “ทาเมอร์เลน (Tamerlane)”
ทาเมอร์เลนเกิดในปีค.ศ.1336 (พ.ศ.1879) ในดินแดนที่ปัจจุบันคืออุซเบกิสถาน โดยมีชื่อแรกเกิดคือ “ติมูร์ (Timur)” และเป็นชาวเติร์ก
1
ทาเมอร์เลน (Tamerlane)
ในช่วงวัยหนุ่ม ทาเมอร์เลนได้รับบาดเจ็บในสนามรบ ทำให้ตนนั้นพิการ ขาขวาเดินกะเผลก มือขวาก็ต้องเสียนิ้วไปสองนิ้ว ศัตรูจึงเรียกเขาว่า “ติมูร์ผู้พิการ (Timur the Lame)” ส่วนในเวลาต่อมา ชาวยุโรปสะกดชื่อของเขาผิดเป็น ”Tamerlane (ทาเมอร์เลน)“
1
การที่เป็นทหารแต่กลับต้องมาพิการเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องที่น่าเศร้า หากแต่ทาเมอร์เลนนั้นไม่ยอมจมอยู่กับความเศร้า เขามีความเป็นผู้นำสูง โดยผู้ที่ทาเมอร์เลนยกย่องให้เป็นต้นแบบก็คือ “เจงกิสข่าน (Genghis Khan)” ประมุขแห่งจักรวรรดิมองโกล
ทาเมอร์เลนต้องการจะเดินตามรอยเจงกิสข่าน เขาจึงก่อตั้งกองโจรของตนเอง คอยดักปล้นกองคาราวานพ่อค้าและนักเดินทาง และด้วยโอกาสบวกกับความสามารถ ทำให้ในปีค.ศ.1370 (พ.ศ.1913) ทาเมอร์เลนได้มีอำนาจเหนือ “จักรวรรดิข่านชากาทาย (Chagatai Khanate)” ซึ่งเป็นดินแดนสืบเนื่องจากจักรวรรดิมองโกล
2
เมืองหลวงของจักรวรรดิข่านชากาทายคือเมืองซามาร์แคนด์ และเมืองซามาร์แคนด์ก็ได้กลายเป็นเมืองที่มั่งคั่งที่สุดเมืองหนึ่งในสมัยศตวรรษที่ 14
เมื่อครองอำนาจ ทาเมอร์เลนก็ได้ออกศึกไปทั่ว และก็ไม่เคยพ่ายแพ้เลยซักครั้ง โดยตัวอย่างที่แสดงถึงความเกรียงไกรของทาเมอร์เลนก็คือในคราวศึกกับจักรวรรดิอ็อตโตมัน
“สุลต่านบาเยซิดที่ 1 (Bayezid I)” พระประมุขแห่งจักรวรรดิอ็อตโตมัน ได้ดูถูกทาเมอร์เลนว่าเป็นพวกขี้ขลาด และได้ทรงกล่าวว่ากองทัพอ็อตโตมันจะรุมข่มขืนภรรยาของทาเมอร์เลนอีกด้วย
แน่นอนว่าทาเมอร์เลนคิดจะสั่งสอนความปากดีของสุลต่านบาเยซิดที่ 1
สุลต่านบาเยซิดที่ 1 (Bayezid I)
ค.ศ.1400 (พ.ศ.1943) กองทัพของทาเมอร์เลนบุกโจมตีกองทัพอ็อตโตมัน และได้ทำการล้อมเมืองอังการา ซึ่งกองทัพของสุลต่านบาเยซิดที่ 1 ก็ได้ถอนกำลังจากการศึกที่อื่นเพื่อมารบกับกองทัพทาเมอร์เลน หากแต่กองทัพของสุลต่านบาเยซิดที่ 1 ก็เริ่มจะไม่ไหวแล้ว
1
เหล่าทหารนั้นต่างกระหายน้ำ และทราบดีว่าใกล้กับเมืองนั้นมีแม่น้ำอยู่ หากแต่เมื่อมาถึงแม่น้ำ ก็พบว่าแม่น้ำนั้นแห้งผาก เหลือน้ำอยู่นิดเดียว ซึ่งที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าวิศวกรของทาเมอร์เลนได้ทำการสร้างเขื่อนที่ใช้กักเก็บน้ำ ไม่ให้กองทัพอ็อตโตมันมีน้ำใช้
2
เหล่าทหารอ็อตโตมันต่างหมดแรงและกระหาย ไม่สามารถรบได้เต็มที่ อีกทั้งในระหว่างการรบ กองทัพตาตาร์ก็กลับย้ายฝั่ง กลับมาโจมตีกองทัพอ็อตโตมัน ซึ่งอันที่จริงนั้น ทาเมอร์เลนได้แอบตกลงกับกองทัพตาตาร์ไว้ก่อนการศึกเป็นเวลานับเดือนแล้วว่าให้ทรยศอ็อตโตมัน และทาเมอร์เลนจะมอบรางวัลชิ้นใหญ่ให้
1
สงครามจบลงด้วยชัยชนะของทาเมอร์เลน สุลต่านบาเยซิดที่ 1 ถูกนำเสด็จกลับไปยังซามาร์แคนด์ และถูกควบคุมองค์ ซึ่งต่อมา สุลต่านบาเยซิดที่ 1 ก็สวรรคตขณะถูกคุมขัง
ในช่วงก่อนสวรรคตนั้น ทาเมอร์เลนสั่งให้จับองค์สุลต่านบาเยซิดที่ 1 ขังไว้ในกรงเหล็ก และนำออกแห่ประจาน ส่วนพระชายาของสุลต่านบาเยซิดที่ 1 ก็ถูกบังคับให้เปลือยกาย และต้องทำหน้าที่เสริ์ฟอาหารแก่แขกเหรื่อในงานเลี้ยงของทาเมอร์เลน
4
อังกฤษ ฝรั่งเศส และสเปน ต่างก็แสดงความยินดีต่อทาเมอร์เลน แต่ในขณะเดียวกัน เหล่าพระประมุขในยุโรปต่างก็หวาดเกรงทาเมอร์เลน ไม่รู้ว่าดินแดนของตนจะเป็นรายต่อไปที่ทาเมอร์เลนหมายหัวหรือไม่
แต่กลุ่ม “อัศวินแห่งโรดส์ (Knights of Rhodes)” คิดว่าทาเมอร์เลนน่าจะไม่มีน้ำยาอะไร พวกตนน่าจะมีกำลังพอที่จะชนะทาเมอร์เลนได้ โดยในเวลานั้น กลุ่มอัศวินแห่งโรดส์มีอำนาจเหนือดินแดนที่ปัจจุบันคือภาคตะวันตกของตุรกี
ทาเมอร์เลนได้ส่งสาส์นถึงอัศวินแห่งโรดส์ให้ยอมจำนนต่อตน หากแต่อัศวินแห่งโรดส์ก็ไม่สนใจ ไม่คิดว่าทาเมอร์เลนจะพิชิตดินแดนของตนได้
ธันวาคม ค.ศ.1402 (พ.ศ.1945) กองทัพทาเมอร์เลนได้ทำการล้อมเมืองของอัศวินแห่งโรดส์ และเมืองก็แตกภายในเวลาเพียง 15 วัน และเมื่อเข้าเมืองได้ ทหารของทาเมอร์เลนก็ได้สังหารทุกคนในเมืองที่พบ
1
การสังหารของทาเมอร์เลนที่ผ่านมาเป็นเพียงน้ำจิ้มเท่านั้น
ในคราวที่รุกรานเมืองเดลีในปีค.ศ.1398 (พ.ศ.1441) ทาเมอร์เลนได้จับกุมเชลยชาวฮินดูกว่า 100,000 คน และทหารของทาเมอร์เลนก็ได้สังหารเชลยทุกคนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกบฏในอนาคต
1
จากนั้น ทาเมอร์เลนก็สั่งให้ทำลายเมืองเดลี และกว่าเมืองเดลีจะฟื้นคืนสภาพก็ต้องใช้เวลาอีกเกือบ 100 ปีเลยทีเดียว
1
สำหรับชาวมุสลิมนั้น ในทีแรก ทาเมอร์เลนก็ยังไม่ได้ยุ่งกับเมืองแบกแดด หากแต่ผู้ครองเมืองแบกแดดกลับดูถูกทาเมอร์เลน โดยพูดจาดูถูกความพิการของทาเมอร์เลน
1
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในปีค.ศ.1401 (พ.ศ.1944) ทาเมอร์เลนจึงนำทัพบุกแบกแดด และเมื่อมาถึงกำแพงเมือง ทาเมอร์เลนก็ได้ออกคำสั่ง
“ทหารแต่ละนายต้องนำศีรษะมาคนละสองศีรษะเพื่อสร้างพีระมิดที่ทำจากกะโหลกศีรษะมนุษย์ หากทหารนายใดทำไม่สำเร็จ ทหารนายนั้นต้องเสียศีรษะของตนเอง”
1
ท้ายที่สุด ทัพของทาเมอร์เลนก็สามารถสร้างหอที่ทำจากกะโหลกศีรษะได้ 120 หอ ซึ่งหอนี้ทำมาจากศีรษะชาวเมืองแบกแดดจำนวน 90,000 คน
2
สำหรับเมืองอิสฟาฮาน ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ในจักรวรรดิเปอร์เซีย ก็ได้ยอมแพ้ต่อทาเมอร์เลนในปีค.ศ.1387 (พ.ศ.1930) หากแต่อิสฟาฮานก็ได้ทำผิดพลาดมหันต์ด้วยการสังหารนายอากรและทหารรักษาการของทาเมอร์เลน จากนั้นก็ก่อกบฏ
การกระทำนี้สร้างความพิโรธแก่ทาเมอร์เลนเป็นอย่างมาก ทำให้ทาเมอร์เลนออกคำสั่งให้สังหารทุกคนในเมือง ต่อให้เป็นเด็กหรือสตรีก็ไม่มียกเว้น
1
ชาวเมืองกว่า 100,000 คนถูกสังหารสิ้น โดยจากบันทึกประวัติศาสตร์นั้น ได้กล่าวว่าหอคอยที่ทำจากกะโหลกศีรษะในตอนนั้นมีมากถึง 1,500 หอ และหยุดไปเนื่องจากทาเมอร์เลนสั่งให้หยุด เพราะตัวทาเมอร์เลนเองก็เริ่มรู้สึกรับไม่ได้กับการสังหารหมู่ที่ตนเป็นคนสั่งเช่นกัน
1
สำหรับเด็กๆ ในเมืองนั้น ทาเมอร์เลนสั่งให้นำเด็กที่มีอายุไม่ถึงเจ็ดขวบมารวมตัวกันที่หน้าประตูเมือง ก่อนที่จะให้ทหารม้าขี่ม้าเหยียบเด็กแต่ละคนจนตาย ท่ามกลางสายตาของเหล่าผู้เป็นแม่ที่ต้องทนดูลูกของตนถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา
1
และผู้ที่ประเดิมขี่ม้าเหยียบเด็กก็คือตัวทาเมอร์เลนนั่นเอง
นอกจากนั้น แม้แต่เหล่าสัตว์ในเมืองก็ไม่ได้รับการยกเว้น วัว ควาย หมา แมว ล้วนแต่ถูกสังหารหมดสิ้น
1
ในปีค.ศ.1399 (พ.ศ.1942) ทาเมอร์เลนบุกมาถึงเมืองซิวาส ซึ่งเป็นเมืองในตุรกี และทาเมอร์เลนก็ได้รับปากว่าหากยอมศิโรราบต่อตน ตนสัญญาว่าจะไม่ให้ประชาชนชาวซิวาสต้องหลั่งเลือด
ดังนั้นเมื่อเมืองซิวาสยอมเปิดประตูเมืองให้ทาเมอร์เลน ทาเมอร์เลนก็ทำตามที่รับปากไว้ นั่นคือสั่งให้นำชาวเมืองกว่า 3,000 คนมาฝังทั้งเป็น
5
ไม่มีการหลั่งเลือดตามที่รับปากไว้
ส่วนชาวคริสต์ก็ไม่ใช่ว่าจะรอดพ้นเงื้อมมือทาเมอร์เลน โดยกองทัพของทาเมอร์เลนได้รุกรานอาร์เมเนียและจอร์เจีย และกองทัพของทาเมอร์เลนก็ได้สังหารประชาชนในเมืองและเผาเมือง ก่อนจะจับชาวเมืองอีกกว่า 60,000 คนเป็นทาส
ทาเมอร์เลนเสียชีวิตในปีค.ศ.1405 (พ.ศ.1948) ด้วยวัย 68 ปี และได้รับการจารึกว่าเป็นหนึ่งในขุนศึกที่เหี้ยมหาญที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยหลานของทาเมอร์เลน นั่นคือ “จักรพรรดิบาบูร์ (Babur)” เป็นพระประมุขผู้ก่อตั้ง “จักรวรรดิโมกุล (Mughal Empire)”
ในทุกวันนี้ สำหรับชาวอุซเบกิสถาน ทาเมอร์เลนคือวีรบุรุษ แต่สำหรับชาวอิหร่าน อิรัก ปากีสถาน และอินเดีย ทาเมอร์เลนคือฆาตกรผู้สังหารผู้คนนับล้าน
1
สั่งซื้อหนังสือ “ประวัติศาสตร์แห่งความหลอกลวง 5,000 ปีของการต้มตุ๋น ฉ้อโกง โกหก ปลอมแปลง” ได้ตามลิ้งค์นี้นะครับ
โฆษณา