19 ก.ค. เวลา 13:16 • ครอบครัว & เด็ก

ชีวิตสุดดิ่ง ไม่มีเวลาแม้จะร้องไห้

วันนี้ผู้เขียนจะมาเล่าชีวิตประสบการณ์ของตัวเองที่สุดดิ่งโหดร้ายมากและเราไม่มีเวลามานั่งเสียใจร้องไห้คร่ำครวญแม้แต่เรื่องเดียว เราจะผ่านเวลาช่วงนั้นมาได้อย่างไร......
เมื่อปี 2564 โรคโควิด -19 สายพันธุ์เดลต้ากำลังระบาดหนัก ไม่มียารักษาโรคนี้โดยเฉพาะ โรงพยาบาลทุกโรงพยาบาลเตียงเต็ม ทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน ใครที่ติดเชื้อนี้มีโอกาสเสียชีวิตสูง และมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เสียชีวิตจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ และครอบครัวผู้เขียนก็เป็นอีกหนึ่งครอบครัวที่โชคร้าย แม่และพี่สะใภ้ซึ่งเปรียบเสมือนแม่อีกคนที่เลี้ยงดูผู้เขียนมาตั้งแต่เรียนอนุบาล ประมาณ 4 ขวบ
เห็นจะได้ และตอนนั้นผู้เขียนเองตั้งท้องและได้เลิกรากับสามี ประมาณเดือน มิถุนายน 2564 ในขณะที่แม่และพี่สะใภ้ติดโควิด – 19 ต้นเดือนกันยายน 2564 เราดิ้นรนหาเตียงเพื่อให้แม่กับพี่สะใภ้ เจ้าหนี้นอกระบบของอดีตสามีได้ติดต่อมาด่าทอเรา ตอนนั้นเครียดมากอยากจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ แต่เราก็คิดถึงเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในท้อง ทุกครั้งที่ร้องไห้จะขออนุญาตจากลูกตลอด และเปิดเพลงให้เค้าฟังแทนการฟังเสียงร้องจากแม่ ทรมานมากค่ะ ในตอนนั้นเราทำอะไรกับโรคนี้ไม่ได้เลยจริง ๆ
สุดท้าย พี่สะใภ้ก็เสียชีวิต แม่ก็ต้องเปลี่ยนโรงพยาบาลอาการหนักต้องอยู่ในห้องไอซียู ห่างกันไม่นานเพียง 1 อาทิตย์ แม่ก็ทนไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา ร่มโพธิ์ 2 ต้น ที่คอยอยู่เคียงข้างเราและเชื่อมั่นในตัวเรา 2 คน ได้จากไปพร้อม ๆ กัน ทรมานใจสุดชีวิต อยากจะยืนยู่บนยอดเขาแล้วร้องไห้ออกมาให้โลกได้ยิน ชีวิตยังไม่สุดดิ่งพอ
ห่างออกไปประมาณ 1 อาทิตย์ เจ้าตัวน้อยของเราได้คลอดก่อนกำหนดด้วยอายุครรภ์เพียงแค่ 27 +4 สัปดาห์เท่านั้น น้ำหนักตอนคลอดเพียง 1,100 กรัม มีภาวะเสี่ยงสูง มีโอกาสที่จะเสียชีวิตได้ตลอดเวลาเช่นกัน เนื่องจากต้องใส่ท่อช่วยหายใจ และรักษาอยู่ในห้อง NICU เด็ก แม่ไม่มีโอกาสได้อุ้มลูก ต้องกลับบ้านมาปั้มนมให้ลูกเพื่อนำไปส่งที่โรงพยาบาล
ในทุก ๆ วัน ต้องโทรไปถามอาการลูก และลุ้นระทึกทุกวันเวลาได้ยินอาการของเจ้าตัวเล็ก ลูกจะมีอาการท้องอืด มีภาวะซีด ต้องอบตลอด อีกทั้งต้องหยุดให้นมบ่อยมาก ในขณะนั้นเราควรจะร้องไห้ได้แล้วใช่ไหมค่ะ ร้องไห้และเศร้ามากไม่ได้ค่ะ เนื่องจากแม่ต้องปั้มนม หากเศร้าร่างกายจะไม่ผลิตนมออกมา แม่ต้องเข้มแข็งเพื่อลูก สุดท้ายดวงตาของลูกมีปัญหา ต้องย้ายโรงพยาบาล แม่ชื่นใจนิดเนื่องจากโรงพยาบาลสามารถให้แม่อยู่ดูแลเจ้าตัวเล็กได้ แม่มีโอกาสได้พูดคุยทักทายเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในตู้ได้
หลังจากย้ายโรงพยาบาล ได้ 2 วัน เจ้าตัวเล็กมีอาการเหนื่อยมาก และได้หยุดหายใจไป ก่อนที่พยาบาลจะช่วยปั้มหัวใจจนกลับมาได้ ระหว่างนั้นก็กลับไปสู่การใส่ท่อช่วยหายใจอีกครั้ง แม่ไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าลูกอีก และต้องเดินขึ้นลงบันไดวันละ ไม่ต่ำกว่า 240 ขั้น เพื่อจะนำนมไปส่งให้ลูก ทุก ๆ 2 ชม. แม่ไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นเลย จนเพื่อน ๆ แม่ร่วมห้องแม่นม
ต่างสอบถามว่าทำไมแม่ไม่ร้องไห้บ้างเลย แม่ตอบว่าร้องไห้ค่ะ แต่ร้องไห้ตอนอาบน้ำ เพราะเวลาอื่น ๆ เราไม่มีเวลาได้ร้องไห้ ต้องรีบอาบน้ำ กินข้าว ปั้มนม นำนมไปส่งให้ลูก และต้องคอยสอบถามอาการลูกตลอด ตอนนั้นไม่มีเวลาแม้แต่จะเหนื่อยเลยค่ะ เพราะลูกติดเชื้อราในกระแสเลือด อาการไม่สู้ดีนัก
จนเวลาผ่านไป 1 อาทิตย์ก็มีข่าวดี เจ้าตัวเล็กได้กลับมายู่ในอ้อมอกแม่อีกครั้ง แต่ต้องให้เลือด และเกร็ดเลือด พร้อมทั้งยาฆ่าเชื้อ ทุก ๆ เช้าจะได้ยินเสียงเจ้าตัวเล็กร้องไห้อยู่บนเตียงที่มีพยาบาลล้อมรอบทุกเช้าวัน เพราะต้องเจาะเลือดไปตรวจเชื้อ และจะโดนเจาะเลือดพิเศษอีกสัปดาห์ละ 2 วัน เลือดผลิตไม่ทันกันเลยทีเดียว อีกทั้งเส้นเลือดทั้งมือและขา ไม่มีจุดให้เข็มแทงเรย บางครั้งต้องให้ยาให้เลือดทางศีรษะ และต้องรับบริจาคเลือดให้ลูก
เพราะใช้เลือดและเกร็ดเลือดเยอะมาก ลูกไม่มีแรงดูดนมจากเต้านมแม่ แม่ต้องใช้วิชามารในการขอร้องคุณหมอให้อนุญาตให้เจ้าตัวเล็กดูดนมจากขวด ในวันที่เราอยู่โรงพยาบาล บางครั้งหว้าเหว่สุดหัวใจ เพราะคนที่อยากให้อยู่เคียงข้าง กลับไม่มีใครอยู่ได้สักคน
ต่างจากเราไปหมด ทุกข์ใจเครียดอะไรก็ไม่มีใครให้เราได้ปลดปล่อย มีเพียงน้ำตาที่เราจะสามารถปลดปล่อยออกไปได้ในขณะที่เราสระผม ร้องออกมาแบบไม่มีข้อจำกัด ต้องใช้คำว่าอดทนเพียงอย่างเดียวเลยค่ะ อดทนนะค่ะ คำนี้ใช้ได้จริง ๆ และพิจารณาว่าเราต้องมีชีวิตเพื่อใคร??? ใครคนนั้นที่ต้องการเรามากที่สุด .....หลังจากนี้จะมาเล่าใหม่นะค่ะ#พลังชีวิตภายใต้ กะลาครอบ
โฆษณา