การให้สัมภาษณ์ของนางแบบ ที่อาจถือว่าดีที่สุดครั้งหนึ่งของไทย EP.1

เรามักจะได้ยินได้ฟัง เรื่องความรู้ ความสามารถ และทัศนคติ ตลอดจนความคิดของเหล่าบรรดานางแบบหรือนางงาม ซึ่งมักจะอยู่ในบริบทหรือทิศทางที่เป็นค่าเฉลี่ย ไม่ได้เก่ง ฉลาด หรือมีแนวความคิดที่น่าทึ่งน่าประทับใจสักเท่าใดนัก
วันนี้ ผู้เขียนมีโอกาสได้ชมคลิปการให้สัมภาษณ์ของนางแบบที่สวยน่ารักคนหนึ่ง (คุยกับอุ๋ย)
แต่ที่ประทับใจมาก จนต้องนำมาเขียนถ่ายทอดหรือกล่าวถึงก็คือ ส่วนเนื้อหาของการสัมภาษณ์ ที่บ่งบอกวิธีคิด นิสัยที่ชัดเจนว่า “โลกงดงามเหลือเกิน”
อาจนับว่า เป็นการให้สัมภาษณ์ของนางแบบที่ดีที่สุดครั้งหนึ่ง เท่าที่ผู้เขียนได้เคยรับฟังหรือรับชมมา
มิเรียม ศรพรหมมาศ คือนางแบบวัย 30 ปี ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ด้วยส่วนสูง 185 เซนติเมตร การศึกษา หน้าตา และบุคลิกที่เพียบพร้อม
จึงได้เข้าสู่วงการนางแบบตั้งแต่อายุ 14 ปี และทำงานต่อเนื่องมาจนเข้าสู่การประกวดมิสไทยแลนด์ยูนิเวอร์สในปี 2562 ด้วยวัย 25 ปี และคว้าตำแหน่งรองอันดับหนึ่งมาครองสำเร็จ
แต่ที่เราจะกล่าวถึงในวันนี้ กลับไม่ใช่เรื่องของการประกวดนางงาม หรือความโด่งดังมีชื่อเสียงของการเป็นนางแบบ รสนิยม การแต่งตัว แฟชั่น แม้กระทั่งเรื่องแฟนดาราที่เลิกรากันไปแล้ว
หากแต่เนื้อหาในการสัมภาษณ์เกือบ 2 ชั่วโมง กลับเป็นการพูดคุยที่มีเสน่ห์ น่ารัก และเต็มไปด้วยเรื่องที่น่าประทับใจและน่าทึ่ง
มีวิธีคิด อารมณ์ ความรู้สึก การจัดการกับความทุกข์ และการมีความสุขที่ดีมากมาก
ผ่านมุมมองของเด็กหญิงลูกครึ่งในครอบครัวบ้านบ้าน จนเติบโตเป็นสาวเต็มตัว ที่มีโอกาส มีชื่อเสียงโด่งดัง
เริ่มต้นด้วยประวัติที่คุณแม่ชาวอเมริกันของมิเรียม มาจากครอบครัวฐานะดีมีญาติพี่น้องเป็นหมอเป็นพยาบาลที่สหรัฐอเมริกา แต่ไม่ได้มีความสุขมากนัก
จึงเดินทางมาเป็นมิชชันนารีที่เมืองไทย มาทำงานอยู่ที่สลัมกล้วยน้ำไทย่านคลองเตย
แล้วบุพเพสันนิวาส หรืออาจจะเรียกว่าราวกับเทพนิยายก็ได้ จึงมาพบกับคุณพ่อคนไทยที่จบช่างกล มาเป็นช่างธรรมดาธรรมดาคนหนึ่ง
ได้พบรักกัน ตัดสินใจแต่งงานกัน โดยอาศัยอยู่ในสลัมที่เดิม
หลังจากที่ทั้งสองมีบุตรชายคนแรก ได้เดินทางกลับไปลองใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐอเมริกา
แต่อยู่ได้ไม่นาน เพราะในยุค 80 สหรัฐฯมีปัญหาเรื่องเหยียดผิวสุดสุด
ขนาดที่คุณพ่อของมิเรียมเล่นกับลูกชายตนเองอยู่หน้าบ้าน ก็มีคนอเมริกันโทรไปแจ้งตำรวจว่า มีการล่อลวงเด็ก
เพราะเด็กผิวขาวหน้าตาเหมือนฝรั่ง แต่อยู่กับพ่อที่ดูเป็นคนเอเชียมากๆ ซึ่งไม่น่าจะเป็นพ่อลูกกันได้เลย
ทำให้เห็นมุมมองของคนอเมริกันในสมัยนั้นว่า เหยียดผิวและเป็นการบูลลี่ จนคุณพ่อคุณแม่ของมิเรียมต้องอพยพพาครอบครัวกลับมาอยู่เมืองไทย ดินแดนที่พร้อมรับความหลากหลาย
หลังจากมีลูกคนที่สองคือ ลูกสาวได้แก่มิเรียม ก็ได้อพยพโยกย้ายไปพำนักอาศัยอยู่ที่เชียงใหม่
ไม่ได้อยู่ในตัวเมืองที่เจริญแล้ว หากแต่ไปอยู่ในหมู่บ้านชุมชนแท้แท้นอกตัวจังหวัด
เหตุการณ์ในวัยเด็กที่น่าสนใจมาก มิเรียมเล่าว่า แม้ฐานะครอบครัวจะไม่ค่อยดี ออกจะค่อนข้างยากจนเสียด้วยซ้ำ
แต่เธอกลับไม่เคยรู้สึกว่าจน ไม่เคยรู้สึกว่าด้อย กลับรู้สึกว่าเก่งด้วยซ้ำ
เพราะการที่ต้องออกไปทำงานหาเงินโดยทำความสะอาดบ้าน ไปเลี้ยงเด็ก แม้กระทั่งการไปสอนหนังสือ ทำให้มีเงินใช้ได้เอง รับผิดชอบตัวเองตั้งแต่อายุยังไม่เต็ม 10 ขวบ เป็นมุมมองแนวคิดที่เป็นบวกมากๆ
แล้วที่สำคัญคือ เด็กเด็กในหมู่บ้านเดียวกันนี่เอง ไม่ได้มีใครที่มีข้าวของเครื่องใช้ที่ดีหรือแตกต่างไปจากมิเรียมเลย จึงทำให้เธอไม่รู้สึกมีความทุกข์ว่า ตนเองด้อยหรือยากจน
คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงลูกเป็นอย่างดี ด้วยความรักความเอาใจใส่เป็นธรรมชาติมากๆ
ไม่มีการให้ดูทีวี ไม่มีทีวีที่บ้าน โอกาสที่จะได้ดูหนังดูรายการทีวีก็มีเดือนละครั้ง ที่ร้านกาแฟที่จะมีห้องดูทีวีให้เช่า
การรู้จักธรรมชาติผู้คน สร้างวิธีคิด สอนลูกเกี่ยวกับเรื่องความดีงามผ่านพระเจ้าเพราะเป็นคริสตศาสนิกชน
แต่เป็นพระเจ้าที่ไม่ได้เน้นเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ มีมุมมองของพระเจ้าว่าเป็นสรรพสิ่งต่างๆ (Universe, Ultimate Energy) ก่อให้เกิดสวรรค์บนดิน (Heaven on Earth) ขึ้น
ตอนที่มิเรียมอายุได้ 14 ปี มีแมวมองหางานถ่ายแบบให้ที่กรุงเทพฯ เธอเล่าว่า ตื่นเต้นมาก แต่สรุปได้ว่าไม่เอาอีกแล้ว ไม่อยากเป็นอย่างนั้น
เพราะเธอช็อกและงงมากกับผู้คนในวงการนางแบบ ที่แม้จะสวยดูดีมีชื่อเสียง แต่ก็ไม่มีความสุข มีความทุกข์กันหลายคน
ในขณะที่มิเรียมไปคุยกับพี่พี่ที่ทำงานเบื้องหลัง ที่เป็นคนธรรมดาธรรมดา แล้วรู้สึกว่าชอบ ได้ข้อคิด สนุก และสัมผัสได้ว่า คนเหล่านั้นมีความสุขอย่างแท้จริง
กลับกันกับบรรดาพี่นางแบบที่มีชื่อเสียงร่ำรวยและแต่งตัวดี เธอสัมผัสได้ว่า พี่เหล่านั้นเหงาและไม่มีความสุข
ทำให้เธอเริ่มตระหนักว่า ความสุขไม่จำเป็นต้องมากับชื่อเสียงหรือความร่ำรวย
เริ่มตระหนักว่าชีวิตที่ผ่านมาที่เชียงใหม่ เธอมีความสุขมากอยู่แล้ว มีความทุกข์น้อย ทั้งที่ไม่มีชื่อเสียง ไม่ได้มีเงินทองมากมายเหมือนกับพี่นางแบบ
เธอเริ่มมีความสนใจในอาชีพหมอและพยาบาล จากการที่ไปช่วยงานหมอมิชชันนารีที่ดูแลคนไข้ด้อยโอกาสชายแดนติดพม่า
แต่มาตระหนักภายหลังว่า ไม่ได้อยากเป็นหมอหรือพยาบาลจริงๆ เพียงแต่อยากช่วยเหลือคนที่มีความทุกข์ให้พ้นทุกข์ สุดท้ายจึงมาสนใจทางด้านจิตวิทยา
ประสบการณ์ชีวิตวัยเด็กในช่วง 15 ปีแรก ทำให้มิเรียมกำหนดคำว่า ค่าของชีวิตได้ชัดเจน และคำที่ว่า ตนเองไม่เคยรู้สึกว่าเป็นคนจน กลับรู้สึกว่ารวยและมีพอด้วยซ้ำไป
เธอเล่าว่า ครั้งหนึ่งยังจำภาพคนยากจนราว 10 คน ไม่มีบ้าน ไม่มีอาหาร แต่ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าอย่างมีความสุข แสดงถึงพลังแห่งความหวัง ที่ในอนาคตหวังว่าจะได้เห็นพระอาทิตย์ในวันรุ่งขึ้น
เมื่อแรกเข้าวงการนี้ เธอแปลกใจที่คนในวงการนางแบบมีความทุกข์ เจ็บปวด จากการขาดความรัก ซึ่งไม่น่าเชื่อเลย
แม้คนเหล่านี้จะมีเงิน มีครอบครัว แต่ก็ไม่เข้าใจตัวตนของตนเอง จึงเกิดความทุกข์ขึ้น
เธอรับรู้ถึงความสุขที่เกิดจากการได้ช่วยเหลือคนอื่น ให้ความรู้สึกดีดีหรือความรักกับผู้อื่น
เรื่องของความทุกข์ก็มีมุมที่น่าสนใจมาก เธอเล่าต่อไปด้วยว่า มันเป็นมุมที่แปลกในความรู้สึกของเธอ เช่น ในค่ายอพยพผู้ลี้ภัย ซึ่งเสื้อผ้าเก่า ขาดและสกปรก คนเหล่านี้หวังเพียงแต่จะได้เสื้อผ้าธรรมดาธรรมดาตัวใหม่ เมื่อยังไม่ได้ ก็มีความทุกข์
แต่ก็แปลกดี ที่นางแบบซึ่งมีเสื้อผ้าพร้อม มีการแต่งตัวที่ดี พออยากจะได้เสื้อผ้าใหม่ที่เป็นแบรนด์
เนม แต่ยังไม่ได้ในทันที ก็มีความทุกข์ ไม่แตกต่างไปกับผู้ลี้ภัยที่ไม่มีเสื้อผ้าจะใส่
1
ทำให้ตนเองรู้สึกแปลกใจมากว่า ในตอนเด็กเด็ก ตนเองมีความสุขมากในครอบครัว วิ่งเล่นในป่า ไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรเลย
1
ต่างกับแวดวงนางแบบ ที่มีทุกข์มากกว่า เพราะความอยากมี อยากเป็น ทำให้ขาดและไม่พออยู่เรื่อยไป
2
ต้นเหตุน่าจะมาจาก ไม่รู้จักตนเอง ไม่ได้ค้นหาตนเอง
หลังจากที่ผ่านงานในวงการนางแบบและไม่ชอบแล้วนั้น แต่ที่ทำงานต่อไปเพราะพ่อแม่ขอร้องให้ลองทำดู
ด้วยความรักที่มีต่อพ่อแม่อย่างมากจึงยอมทำ แม้หันไปทางไหน จะไม่ชอบเอาเสียเลยก็ตาม
เป็นเพียงส่วนแรกของนางแบบสาวสวย นิสัยดี บุคลิกดี การศึกษาดี ได้ให้สัมภาษณ์ที่มีมุมมองที่น่าสนใจมาก (จะมี EP.2 ต่อไป)
คลิปสัมภาษณ์ : https://youtu.be/CHDjdT_32z0?si=qOcBHmVZUzUIfVSA
1
โฆษณา