การให้สัมภาษณ์ของนางแบบมิเรียม ที่อาจถือว่าดีที่สุดครั้งหนึ่งของไทย EP.2

มิเรียม นางแบบสาวสวย บุคลิกดี ที่เรามารีวิวการให้สัมภาษณ์ของเธอ ใน EP.1 ที่เต็มไปด้วยความน่าสนใจ น่าประทับใจอย่างยิ่ง
ที่สำคัญมากคือ ความแตกต่างไปจากบทสัมภาษณ์ของนางแบบคนอื่นๆ ในประเด็นที่มีเรื่องน่าขบคิด มีประสบการณ์ให้เรียนรู้ และมีความรู้ที่เราสามารถนำไปใช้กับชีวิตจริงได้
ไม่ใช่เพียงแต่การได้รับความสนุกสนานหรือมีความสุขกับการได้ทราบชีวิตส่วนตัว ที่หรูหรา มีชื่อเสียงของนางแบบแต่เพียงเท่านั้น
ใน EP.1 เราได้กล่าวถึงช่วงแรกของชีวิตวัยเด็กของมิเรียม ตลอดถึงการพัฒนาจนเข้าสู่วงการนางแบบ
ใน EP.2 นี้ เราจะมาต่อเนื่องกันถึงคำให้สัมภาษณ์ของเธอ ที่ยังมีอีกหลายประเด็นที่น่าสนใจมาก
เรามาต่อกันตรงที่ว่า มีช่วงหนึ่งที่มิเรียมไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาด้วยวัยยังไม่ถึง 20 ปีเต็ม
และก็เหมือนเช่นที่อยู่เมืองไทยก็คือ เธอทำงานหาเงินส่งเสียตัวเองเรียนไปด้วย
ได้ไปทำงานที่ถือว่าค่อนข้างต่ำในสหรัฐอเมริกาคือ การขายรองเท้าอยู่ในห้างสรรพสินค้า
ซึ่งด้วยวัฒนธรรมของคนอเมริกันตามที่มิเรียมเล่า คนขายของในห้างสรรพสินค้า จะถูกดูถูกจากลูกค้าอยู่เป็นประจำ
เหตุเพราะเขามีความเชื่อกันว่า ลูกค้าเป็นพระเจ้า ลูกค้าถูกเสมอ พนักงานจะต้องเอาใจลูกค้าสุดสุด ยอมรับอารมณ์และความรู้สึกของลูกค้าตลอดเวลา
มิเรียมประสบปัญหาอยู่ครั้งหนึ่งที่ทำงานไม่เร็วพอ ไม่ถูกใจ ไม่ทันใจลูกค้า
ทำให้ลูกค้ารายนั้น ถ่มน้ำลายใส่เธอ
พิธีกร : แล้วมิเรียมทำอย่างไรครับ
มิเรียม : หนูไม่ได้ทำอะไรเลยค่ะ
พิธีกร : ถ้าเป็นผมต้องมีสวนกลับ
มิเรียม : ตอนนั้นหนูคิดและมองได้ถึงความเจ็บปวดในชีวิตของเขา
1
เรารับรู้ได้ รู้สึกได้ จึงไม่โกรธ เป็นทัศนคติหรือวิธีคิดแบบอัตโนมัติที่ยอดเยี่ยมมาก
ใครที่สามารถคิดแบบนี้ได้ ชีวิตก็จะปราศจากความขัดแย้ง หรือการทะเลาะกันแบบรุนแรง อันจะนำไปสู่ปัญหาชีวิตอีกมากมาย
มิเรียมเล่าต่อไปว่า เมื่อกลับมาแล้วก็คิดว่า เราออกมาจากความทุกข์ในครั้งนั้นได้แล้ว แต่เค้ายังออกไม่ได้
1
เราจึงสามารถรับมือสถานการณ์นี้ได้ดี เพราะเรามีเครื่องมือที่ดีก็คือทัศนคติและวิธีคิด
เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของบทสัมภาษณ์ที่น่าประทับใจ และสามารถนำมาใช้ได้กับชีวิตจริง และไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนัก ที่นางแบบหน้าตาสะสวย รูปร่างดี อยู่ในแวดวงของสังคมชั้นสูง จะมีความคิดอ่าน ที่มีเนื้อหาทำนองนี้อย่างชัดเจน
อีกครั้งหนึ่งคือ กรณีที่เธอเห็นนางแบบรุ่นพี่นั่งอยู่คนเดียวระหว่างรอถ่ายแบบ จึงเข้าไปทัก
มิเรียม : พี่ชื่ออะไรคะ
ปรากฏว่าพี่ท่าทางดีใจมาก ก็คงเหงานั่นเอง
พี่นางแบบ : หนูมาจากไหน
มิเรียม : มาจากเชียงใหม่
แล้วก็ชวนกินข้าว
แต่พี่นางแบบบอกว่า พี่ไม่กินข้าวกล่องนะ
มิเรียมก็ตอบกลับด้วยความไร้เดียงสาว่า : อ้าว แล้วพี่กินอะไร
การกินข้าวกล่องเป็นเรื่องปกติมากสำหรับมิเรียม นางแบบรุ่นน้อง
อีกครั้งในตอนวัยเด็ก การมีโลกที่งดงามหรือโลกสวย ก็อาจทำให้ต้องมีการปรับตัวเพื่อให้ตนเองปลอดภัยมากขึ้น
กล่าวคือ มีคนมาที่มาหน้าบ้าน เมื่อมิเรียมออกไปเปิดประตู ชายคนนั้นก็ถอดโชว์ มิเรียมไม่ได้โกรธ
แต่สงสัยว่า คุณทำเรื่องไม่ดีแบบนี้ทำไม
ก็เดินไปบอกพ่อ พ่อตกใจมาก และสอนให้เรียนรู้ว่า เราต้องปกป้องตัวเองบ้าง โลกไม่ได้สวยอย่างที่เราเติบโตมาหรือเราเชื่อเสมอมา
1
เพราะวัยเด็กของเรามีแต่ความสุข มีจินตนาการดีดีมาตลอด
เธอมีความสุขและสนุกในทุกสถานที่ แม้กระทั่งการต้องรออะไรนานนาน ก็สามารถมีวิธีความคิดที่ทำให้เป็นสุข ปรับตัวให้ทุกข์น้อยได้อยู่เสมอ
หลายครั้งชีวิต ก็ต้องประสบกับปัญหาและความทุกข์ขนาดหนัก เธอใช้คำว่าเธอมีประสบการณ์ที่ถือว่ากล้าหาญมากทางอารมณ์ คือการยอมรับความทุกข์ในเวลาอันรวดเร็ว
เป็นเหตุการณ์ ครอบครัวที่แสนจะน่ารักและอบอุ่นของเธอ คือคุณพ่อคุณแม่ อยู่อยู่ก็หย่ากัน ในตอนนั้นเธออายุ 18 ปี
แม้จะเคยเห็นว่าพ่อแม่ทะเลาะกันมาก่อนบ้าง แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องถึงขั้นหย่ากัน
เธอไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการรับผลกระทบที่รุนแรงขนาดนี้
อาการในขณะนั้นคือ เย็นชาไม่มีสติสตังไปสองสามวัน ความรู้สึกลอยๆเหมือนไม่รับรู้อะไรเลยทั้งสิ้น
แต่แล้วเธอก็รีบกลับมาตั้งสติ สามารถยอมรับความจริงที่เจ็บปวดได้ เพื่อที่จะได้พ้นทุกข์โดยเร็ว
การเผชิญกับความทุกข์ ไม่ใช่การเพิ่มความเจ็บปวด หากแต่เป็นการมีความหวังว่า เมื่อรับรู้ความทุกข์แล้ว
อนาคตความทุกข์นั้นก็จะจางหายไปและผลที่จะตามมาก็คือความสุขจากการพ้นทุกข์นั่นเอง
อีกครั้งคือ มิเรียมมีแฟนแบบจริงจังและเปิดเผย เป็นดาราชื่อดังของไทย เป็นที่รับรู้กันในวงสังคม
ต่อมาก็ต้องเลิกจากกัน เพราะทัศนคติไปด้วยกันไม่ได้ แม้จะจากกันด้วยดี ยังคงเป็นเพื่อนกัน
แต่แน่นอน ต้องมีความทุกข์จากการอกหัก ซึ่งใช้เวลาคบหากันอยู่ถึง 3 ปี
แต่ถ้ายังค้างอารมณ์ไว้แบบนั้น ก็จะทุกข์ตลอดไป มิเรียมสามารถยอมรับความทุกข์นั้นได้ ว่านี่คือความจริงที่เราไปด้วยกันไม่ได้
วันหนึ่ง ความทุกข์นั้นก็จะลดน้อยถอยลงและหายไป
ในขณะนี้ เธอไม่มีความทุกข์เรื่องอกหักแล้ว
จึงเป็นอีกมุมมองหนึ่ง ที่ต้องเรียกว่าน่าทึ่งและน่าประทับใจมากสำหรับผู้เขียน
โชคดีที่ได้มีโอกาสชมคลิปการให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ และสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันของทุก ผู้คนได้ว่า การพ้นทุกข์ก็คือการตระหนักและยอมรับความจริง แต่เป็นการรับแบบมีความหวังว่า ทุกข์นั้นจะหายไป
การที่เข้าใจผู้อื่นที่ทำไม่ดีกับเรา ว่าเค้าเป็นคนที่มีความทุกข์ จึงต้องมีพฤติกรรมแบบนั้น
การให้อภัย การที่เราไม่เป็นแบบนั้น เราก็จะมีทุกข์น้อย มีความสุข
เป็นมุมมองของคนที่นับถือคริสต์ แต่มีเนื้อหาความจริงแท้แบบวิถีพุทธ ก็คือความจริงของโลก โดยไม่ไปเน้นเรื่องพฤติกรรมหรือพิธีกรรม
เป็นสิ่งที่มิเรียมได้ให้ไว้ในการสัมภาษณ์ของคลิปที่แหลมคมยิ่ง
ด้วยเนื้อหามีความยาวมาก ยังไม่จบ จึงจำเป็นที่จะต้องมี EP.3 ต่อไป
โฆษณา