Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Supervisor Ekarat
•
ติดตาม
21 ก.ค. เวลา 04:54 • หนังสือ
Key Takeaways : ข้อคิดจากหนังสือ Move Heaven and Earth
เขียนโดย คุณกระทิง พูนผล
ประธาน กสิกร บิสซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป หรือ KBTG
-ท่ามกลางความมืดมิด จงมองหาแสงสว่างเล็กๆนั่น หรือไม่คุณก็ต้องเป็นคนจุดมันขึ้นมา
-คุณต้องค้นหาสิ่งที่คุณรัก สิ่งที่คุณทำได้ดี สิ่งที่โลกกำลังต้องการและสิ่งที่คุณสามารถทำเป็นอาชีพได้ จากนั้นก็ใส่ใจทุ่มเทลงไป
-คุณต้องเริ่มจากรู้ใจตัวเองและไม่โกหกตัวเอง ใจจะนำไปสู่ความตั้งใจ ใจจะบันดาลแรง และแรงก็ต้องถูกเสริมด้วยวินัย
-คุณอาจกำหนดอนาคตไม่ได้ แต่คุณสามารถกำหนดพฤติกรรม ความคิด และทัศนคติของคุณที่จะนำไปสู่อนาคตนั้นได้
-หากคุณมีความมุ่งมั่น มีใจรัก แต่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าวินัย ความสำเร็จจะเป็นเพียงภาพลวงตา ไม่มีทางเกิดขึ้นจริง
-ผมเชื่อว่าวิธีคิดเชิงบวกคือการเล่มเกมกับปัญหา เมื่อมีอุปสรรคเกิดขึ้นมา แม้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ แต่เราสามารถดีลกับมันได้ รับมือมันได้ด้วยการเปลี่ยนทัศนคติและมุมมองที่เรามีต่อปัญหานั้น
-เมื่อออกจาก comfort zone คุณจะเข้าสู่ fear zone ทันที วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะออกจาก fear zone ได้ด้วยการเรียนรู้และลงมือทำอย่างที่เรียกว่า do above and beyond หมายถึงลงมือทำให้มากเข้าไว้ ทำอย่างเหนือความคาดหมาย
-วันที่ตื่นมาเหงื่อตก มีอาการพารานอยด์ มีอุปสรรค มีปัญหาใหม่เข้ามา วันนั้นคือวันดี เพราะคุณเก่งขึ้นกว่าตัวคุณเมื่อวาน
-บางครั้งเราต้องพุ่งเข้าหาประสบการณ์หลังชนฝา สถานการณ์ปิดประตูแพ้ ทุบหม้อข้าว ทำทุกอย่างเพื่อให้รอด เพราะคนเราจะถูกหล่อหลอมให้เก่งแบบก้าวกระโดดท่ามกลางวิกฤตของชีวิต
-ใช้จุดแข็งที่เรามี ยอมรับในสิ่งที่เราไม่มี แล้วเรียนรู้อย่างเต็มที่ เราจะกลายเป็นเหมือนฟองน้ำที่ซืมซับความรู้และเป็นเหมือนบ่อน้ำที่มีก้นลึก รองรับความรู้ได้ไม่สิ้นสุด
-ถ้าไม่มีล้มก็จะไม่มีความสำเร็จ การล้มคือส่วนผสมสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ. เคล็ดลับคือคุณต้องล้มแต่ไม่เหลว คุณจึงจะไม่ล้มเหลว
-การถูกปฏิเสธคือจดหมายเชิญให้คุณเดินต่อ
-ความขาดแคลนคือสินทรัพย์ที่ล้ำค่าที่สุด ถ้าคุณยอมรับมัน คุณจะสู้อย่างถูกต้อง คุณจะตระหนักแน่ว่า จะต้องสู้ด้วยทุกสิ่งที่มี
-ผู้นำต้องเป็น lifelong learner หรือเป็นนักเรียนรู้ในทุกวันตลอดชีวิต เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวันอย่างต่อเนื่อง เพราะการเรียนรู้และทดลองทำอะไรใหม่ๆ และขยับไปสู่สนามใหม่ๆ พบเจอผู้คนใหม่ๆจะเปลี่ยนโชค
-ลงทุนในตัวเอง พัฒนาศักยภาพตัวเอง วิ่งเข้าสู่สนามที่มีแต่คนเก่งๆอยู่ถูกที่ ถูกเวลา คบหาถูกคน คุณจะเป็นคนโชคดีมากขึ้น
-บทเรียนล้ำค่าที่สุดที่ผมได้จากกูเกิลคือวิธีคิดแบบ moonshot และการผลักดันตัวเองให้คิดใหญ่ขึ้นสิบเท่าเสมอ กูเกิลคิดเสมอว่าทำอย่างไรให้สิ่งที่มีอยู่ดีขึ้นกว่าปัจจุบันสิบเท่า
-ระบบการศึกษาไทยนั้นมีปัญหาจริงๆในการสร้างคนเก่งที่มีทักษะตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจ และระบบยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างขนาดมหึมาที่ทำให้คนจบมามีทักษะไม่ตรงกับที่ตลาดแรงงานต้องการ การศึกษาพื้นฐานไม่ทำให้เด็กๆของเราฉลาด รอบรู้ และเก่งขึ้น หรือพร้อมจะอยู่รอดในโลกยุคใหม่
-ทักษะที่การศึกษามักให้ความสำคัญไม่เพียงพอก็เช่น ทักษะความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ ทักษะในการคิดแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ การบริหารจัดการเงินส่วนบุคคล
-ผู้ก่อตั้งสตาร์ตอัปที่สร้างการเติบโตหลายเท่าได้สำเร็จเป็นยูนิคอร์น ต้องมีครบทั้ง 6 ทักษะสำคัญ ได้แก่
1. ทักษะในการเป็นแม่เหล็กดึงดูดคนเก่ง สร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้คนเก่งทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ทักษะในการสร้างผลิตภัณฑ์และออกแบบรูปแบบธุรกิจ รวมทั้งเขาต้องมีความสามารถในการเรียนรุ้ทักษะใหม่ๆได้รวดเร็วและคล่องแคล่ว
3. ทักษะโฟกัสการใช้เวลาของตนเองอย่างยิ่งยวด เขาต้องว่าอะไรคือสิ่งสำคัญสามอย่างแรกของเขา
4. มี okr สำคัญที่สุดแค่สามตัว
5. มีแรงจูงใจมหาศาลที่จะพัฒนาและทรานส์ฟอร์มตัวเอง
6. มีพ่อบ้านคอยช่วยเหลือ
-บันได 8 ขั้นสู่การบรรลุธรรมของสตาร์ตอัป
1. นี่คือปัญหาที่คุ้มค่าที่จะแก้ใช่ไหม
2. เราแก้มันถูกวิธีใช่ไหม
3. เราหาใครมาช่วยลงทุนได้ไหม
4. เราหาคนลงทุนเยอะขึ้นได้ไหม
5. เราหาผู้บริหารที่ไมใช่ผู้ก่อตั้งได้ไหม
6. เครื่องเร่งโตของเราโตพอไหม
7. เรารักษาลูกค้าไว้เกือบตลอดไปได้หรือเปล่า
8.จุดบรรลุธรรมทางธุรกิจ
-ความสำเร็จเป็นเหมือนน้ำตาล หอมหวาน แต่เป็นยาพิษและวิธีการหนึ่งที่จะทำให้คนอยู่บนยอดดอยไม่ได้นานคืออ่อนน้อมถ่อมตัวเสมอ
-ความถ่อมตัวและการที่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ทำให้เราแสวงหาความรู้และเรียนรู้ได้จากทุกคน แต่ต้องเริ่มจากความถ่อมตัว
-เมื่อเจอวิกฤติ สิ่งแรกที่ต้องทำคือต้องตั้งสติให้ดีที่สุด มองสถานการณ์อย่างเฉียบขาดและอย่างใจเย็นที่สุด
-วิกฤติที่เกิดขึ้นตอนช่วงเริ่มงานใหม่เป็นเป็นเรื่องดี เพราะเมื่อคุณสะดุด คุณหัวคะมำ หมดสิ้นอีโก้ คุณจะมีความอ่อนน้อมถ่อมตน และนั่นคือสินทรัพย์ล้ำค่ายิ่ง มันนำผมไปสู่ความพยายามเข้าอกเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ หรือ empathy ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา
-ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ผมต้องเข้าใจพนักงานและคนใช้ผลิตภัณฑ์ ผมจึงไปฝึกงานที่สาขา ที่คอลเซนเตอร์เพื่อเข้าใจว่าปัญหาของลูกค้าเป็นยังไง ไปนั่งคุยกับลูกค้า และแน่นอนคือนั่งคุยกับพนักงาน ผมทำ empathy listening จนติดเป็นนิสัยทุกสัปดาห์ เพื่อให้เข้าใจว่าพวกเขามีปัญหาอะไร
-ผู้นำต้องเปิดหัวใจของพนักงานให้ได้ครับ คุณต้องทำให้พนักงานรู้ว่าคุณรักเขาแค่ไหน
-โอบกอดวิกฤติเป็นดั่งคู่ชีวิตของคุณ
ของขวัญจากวิกฤติ
-เป็นกระจกสะท้อนภาวะผู้นำของเรา
-ได้รู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุด
-เรียนรู้จุดแข็งจุดอ่อนและจุดเปราะบาง ทั้งของตัวเองและธุรกิจ
-เป็นโอกาสในการผนึกกำลังและดึงผู้คนเข้ามาร่วมมือกัน
-เป็นโอกาสแสดงให้ลูกน้องรู้ว่าคุณรักเขามากแค่ไหน
-ในฐานะผู้นำ ทัศนคติทึ่คุณมองวิกฤติจะสะท้อนลงไปในองค์กรและพนักงานของคุณ วิกฤตจึงเป็นช่วงเวลาที่ทำให้คุณสามารถดึงด้านที่ดีที่สุดของตัวเองและองค์กรออกมาได้
-ภาวะความเป็นผู้นำไม่ได้ถูกกำหนดด้วยอำนาจที่คุณมี แต่ถูกกำหนดด้วยคำถามที่ว่าคุณยินดีที่จะเสียสละมากแค่ไหนเพื่อคนอื่น
-จงเป็นแหล่งพลังงานด้านบวกให้กับทีม เป็นแสงตะวันท่ามกลางวันเวลาที่มืดมิด
-why คือเหตุผลสูงสุดแห่งการทำสิ่งที่เราทำอยู่
- why ของคุณคืออะไร -why ของคุณสอดคล้องแค่ไหนกับ why ขององค์กร
- why ขององค์กรสอดคล้องแค่ไหนกับ why ของทีมงาน
ในองค์กรที่ดีที่สุด why ทั้งสามอย่างนี้จะสอดคล้องเชื่อมโยงกัน
-ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง ทุกคนต้องคิดอย่างเป็นระบบ มองธุรกิจและองค์กรออกมาเป็นระบบ แตกออกมาเป็นระบบย่อยๆ และมองเห็นว่ามันเชื่อมโยงกับระบบย่อยอื่นๆอย่างไร อะไรคือ input และ output ของระบบย่อยๆ คุณต้องมองเห็นภาพเป็นแผนที่ของระบบขององค์กรให้ได้
-สิ่งที่พาคุณมาอยู่ตรงนี้ ไม่ได้แปลว่าจะพาคุณไปต่อได้เสมอไป คุณต้องทรานส์ฟอร์มตัวเองตลอดเวลา
สิ่งแรกที่ต้องทำคือ การเริ่มต้นประเมินสถานการณ์ ขั้นตอนคือ
1. ประเมินบริบทของสถานการณ์และวิวัฒนาการของสถานการณ์ตนเอง
2. รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์แนวโน้ม ตัวชี้วัด ตัวเปรียบเทียบที่สำคัญ และพยายามเน้นที่สัญญาณหลัก ไม่ใช่คลื่นรบกวน
3. ชวนคนอื่นๆที่มีความคิดเห็นและประสบการณ์แตกต่างหลากหลายมาช่วยกันวิเคราะห์ สังเคราะห์ และให้ความคิดเห็น
4. สรุปสัญญาณทั้งหมดออกมาเป็นประเด็นสำคัญ และเล่าออกมาเป็นเรื่องราวที่เข้าใจได้ง่าย
-หน้าที่หนึ่งของผู้นำคือต้องเป็นนักเล่าเรื่องที่ดี ทำให้พนักงานเข้าใจธีมยุทธศาตร์ขององค์กรชัดเจน ผู้นำต้องแปรเรื่องยากอย่างยุทธศาตร์ให้ออกมาเป็นสิ่งที่เข้าใจง่ายและสื่อสารให้น่าฟัง
-ในการสื่อสารอะไรก็ตามหลังจากหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป พนักงานจะจำได้แค่ 10%ของสิ่งที่คุณพูด ดังนั้นคุณต้องสื่อสารโดยเริ่มจาก 10%ที่สำคัญที่สุดก่อนเสมอ และเล่าเป็นเรื่องราวซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้พนักงานจำ 10%นั้นให้ตรงกันให้ได้ และให้เขาเข้าใจว่าฉันจำเป็นจะต้องทำอะไร ทำไมฉันถึงต้องทำมัน ทำไมถึงต้องเปลี่ยน ทำไมต้องทรานส์ฟอร์ม และฉันจะทำได้อย่างไร และถัดจาก why จึงมาเป็น what (ต้องทำอะไร) และถัดจาก what ก็มาเป็น how (ฉันต้องทำอย่างไร)
-การสื่อสารที่ดีจะให้เหตุผลในการทำงานที่ทำให้พวกเขา อยากตื่นมาทำทุกเช้า เพราะเขาเข้าใจและสามารถเชื่อมโยงเป้าหมายอันยิ่งใหญ่เข้าสู่ตนเองได้
-ตอนทำทรานส์ฟอร์เมชั่นที่ KBTG ผมเริ่มต้นจากพื้นฐาน นั่นคือเรื่องคน start with empathy คือเข้าใจผู้คนที่เราจะไปทรานส์ฟอร์มเขา
-เป้าหมายของทรานส์ฟอร์เมชั่น สุดท้ายแล้วคือการทำให้ชีวิตคนแค่สองกลุ่มดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด กลุ่มแรกคือลูกค้าของคุณ และกลุ่มที่สองคือพนักงานของคุณ
-องค์ประกอบที่ผมยึดถือเสมอได้แก่
Envision สร้างวิสัยทัศน์ให้กับองค์กร
Enable ทำให้พนักงานมีความรู้ความสามารถและมีเครื่องมือที่เหมาะสม
Empower ไว้วางใจและมอบอำนาจ
Energize กระตุ้นให้พนักงานตื่นตัว มีพลังงานเพื่อไปสู่เป้าหมาย
Execution ผู้นำทุกคนคิดแล้วต้องลงมือปฏิบัติให้บรรลุผล
แต่ E ที่เป็นพื้นฐานของทั้งหมดทั้งปวงคือ Empathy
-คนจะไม่ไว้วางใจคุณเลยถ้าเขาพบว่าคุณทำทุกอย่างเพื่อตัวคุณเอง trust equation จึงต้องเริ่มจากการนำคนอื่นมาเป็นศูนย์กลาง ทำเพื่อคนอื่นมากกว่าทำเพื่อตัวเอง
-ใช้ design thinking มาใช้กับการออกแบบนวัตกรรมและการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับพนักงาน
-empathize มองในมุมคนอื่น
-define problems นิยามปัญหา
-ideate solution สร้างสรรค์ทางแก้
Prototype สร้างต้นแบบ
Test ทดสอบ
Validate ตรวจสอบ
และทำซ้ำไปซ้ำมา
-วิสัยทัศน์ที่ดีต้องเป็นภาพในอนาคตที่สร้างแรงบันดาลใจ สะท้อนถึงสิ่งที่องค์กรอยากไปให้ถึงจริงๆ และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นแน่วแน่ของผู้นำและทุกคนในองค์กร
-อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้นำต้องทำคือการ reframe vision ปรับกรอบวิสัยทัศน์ และทำให้มันยิ่งใหญ่ขึ้น ปรับกรอบการมองโลกของพนักงาน กรอบการทำงานองค์กร และต้องเปลี่ยน mindset โดยรวม และทำให้พวกเขาคิดการใหญ่ขึ้น นั้นหมายถึงคุณต้องสร้าง growth mindset ให้กับทั้งองค์กรให้ได้
-สร้างความผูกพันกับองค์กร แม้พนักงานไม่ได้เข้าสำนักงานเลย และเริ่มรู้สึกจิตตก เหงาหงอย จากการที่ต้องทำงานที่บ้านและออกไปไหนไม่ได้ หมั่นคอยดูแลและรักษาความผูกพัน
-เราอยากสร้าง a man ให้เป็น a brand ก่อนอื่นเราต้องสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่พนักงานข้างในก่อน จีงค่อย ตะโกน บอกข้างนอก
-หน้าที่ของผู้นำคือการสร้างสภาพแวดล้อม จุดประกายใส่หัวเชื้อเข้าไป จุดไฟให้ติด และเร่งเครื่อง สร้างพื้นที่ให้พนักงานได้มาเชื่อมโยงกันจนเกิดชุมชนของการเรียนรู้
-เราทุกคนต้องเป็นนักเรียนตลอดชีวิต และถ้าคุณจะสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ คุณต้องเป็นผู้นำแห่งการเรียนรู้ด้วยเช่นกัน โดยสร้างระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้ให้กับประเทศไทย จึงเริ่มจากสร้างบูตแคมป์ให้กับคนนอกเข้ามาเรียนฟรี ยังทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างๆช่วยออกแบบหลักสูตรและเข้าไปช่วยสอนเองด้วย
-หน้าที่ของผู้นำคือสร้างวิสัยทัศน์ ให้แนวทาง จุดประกายไฟ สร้างแรงบันดาลใจ และมอบอำนาจให้เขา ช่วยเขาจากข้างหลัง เมื่อแพชชั่นของเขาจุดติด เขาจะทำสิ่งมหัศจรรย์กับผลิตภัณฑ์นั้นเสมอ
-เมื่อคุณ empower คนรุ่นใหม่เชื่อใจ คอยสนับสนุนให้พวกเขามีความเชื่อมั่นแรงกล้าและมีความรู้สึกเป็นเจ้าของ น้องๆเหล่านั้นที่จะ move heaven and earth. และจะเซอร์ไพรส์คุณตลอดกาล
-นอกจากลงลึกกับดาต้าแล้วคุณต้องหาโอกาสเก็บข้อมูลและวัดผล รวมทั้งวิเคราะห์เพิ่มเติมให้ลึกซึ้งมากขึ้น เพื่อหาโอกาสการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และอีกเรื่องที่คุณต้องทำคือสร้างนวัตกรรมให้ไวกว่าเสมอ นอกจากทำ mvp – minimum viable product ที่ใช้เงิน เวลาและทรัพยากรให้น้อยที่สุด เพื่อทดสอบผลิตภัณฑ์กับลูกค้าให้เร็วที่สุด อีกสิ่งที่ต้องทำคือ minimum viable process หมายถึงการลดขั้นตอนและกระบวนการสร้างนวัตกรรมให้เพรียวบาง คล่องตัว และมีประสิทธิภาพเร็วที่สุดครับ
-ยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดสำหรับยุคนี้คือ agility (ความคล่องตัว) และ continuous transformation (การทรานส์ฟอร์มอย่างต่อเนื่อง) เพื่อนำหน้าสถานการณ์ในอนาคตหนึ่งก้าวเสมอ
-ปี 2019 ที่ผมเข้ามาทำงาน KBTG ใหม่ๆ เราสร้างยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า 6 tracks strategy เป็นการมองไปข้างหน้าสามปี และมีกรอบกลยุทธ์และแผ่นงาน รวมทั้งการวัดและติดตามผลชัดเจน
- ใช้แนวคิด antifragility หรือความสามารถในการต้านทานความเปราะบาง
-ยุทธศาสตร์ที่ดีต้องมีความคล่องตัว และปรับตัวยืดหยุ่นตามสถานการณ์เสมอ และยุทธศาสตร์ก็คือการทรานส์ฟอร์มเพื่อยกระดับองค์กรอย่างต่อเนื่อง
-เราต้องใส่ปัจจัยความสนุกเข้าไปด้วย และทำจนมันเป็นนิสัย กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
-ทุกคนมีส่วนร่วมในวิสัยทัศน์ในการทรานส์ฟอร์ม และพันธกิจแห่งการเป็นแชมป์ ไม่มีวันทิ้งใครไว้เบื้องหลัง
หนังสือ
ความรู้
แรงบันดาลใจ
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย