26 ก.ค. เวลา 06:30 • ข่าวรอบโลก
สหรัฐอเมริกา

คำเตือนจากแถบสนิม(Rust Belt)

แวนซ์ได้รับการยืนยันว่าเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกันแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำให้หลายคนประหลาดใจ
แต่สิ่งต่าง ๆ ก็มีเหตุผลของตัวเองอย่างแน่นอน
แล้วอะไรคือสาระสำคัญเบื้องหลังการแข่งขันระหว่างพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต?
บางคนเรียกมันว่าเป็นการชั่งน้ำหนักและความแตกต่างของภัยคุกคามของทั้งสอง
เอาล่ะๆๆๆ แล้วความหมายมันคืออะไร? กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในความคิดของพรรครีพับลิกันและเดโมแครต หรือในความคิดของทรัมป์และไบเดน(แฮร์ริส) มีจินตนาการเกี่ยวกับภัยคุกคามหรือวิกฤตการณ์ที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
เวทีหรือความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันของพวกเขาเป็นการตอบสนองต่อภัยคุกคามหรือวิกฤตการณ์ทั้งสองนี้
นั่นสินะ ....จินตนาการของพวกเขาคืออะไรล่ะ?
ภัยคุกคามหรือวิกฤติที่ไบเดน(แฮร์ริส)หรือพรรคเดโมแครตจินตนาการคืออะไร? หลังจากคิดอยู่หลายวัน ก็นึกคำที่เหมาะสมมาสรุปไม่ได้ ฮาาาา
บางทีอาจเป็นเรื่องสภาพภูมิอากาศ ความไม่เท่าเทียม ภูมิศาสตร์การเมือง และประเด็นระดับโลกอื่น ๆ
ตามแนวคิด จินตนาการของพรรครีพับลิกันหรือทรัมป์ชัดเจนยิ่งขึ้น คือ สหรัฐฯ กำลังตกต่ำ และแม้แต่รากฐานทางจิตวิญญาณของสหรัฐอเมริกาก็กำลังล่มสลาย
แน่นอนคุณสามารถโต้แย้งได้ว่าสหรัฐฯตกต่ำตรงไหน? ความเข้มแข็งทางเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และการทหารของสหรัฐอเมริกายังคงเป็นรองใครในโลก อ่ะป่าววว?
นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกายังเป็นผู้นำของการปฏิวัติทางเทคโนโลยีครั้งใหม่นี้อีกด้วย
นี่เป็นเรื่องจริง โดยทั่วไปทุกคนก็เห็นด้วย
แต่ประเทศใดๆก็ตาม ภาพจริงมันก็คือรูปทรงแบบหลายเหลี่ยม สิ่งที่คุณเห็นคือด้านหนึ่ง ในขณะที่ประเทศอื่นๆ อาจเห็นไปอีกด้านหนึ่ง
อย่างน้อยแวนซ์ก็คงไม่คิดอย่างนั้น สิ่งที่เขาเห็นคืออีกด้านหนึ่ง ...เข็มขัดสนิม
เข็มขัดสนิมที่ซึ่งมีความรุ่งเรืองและรุ่งโรจน์ในอดีต ปัจจุบันได้พังทลายลงแล้ว เศรษฐกิจไม่เพียงแต่ตกต่ำและทรุดโทรมเท่านั้น
แต่สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของผู้คนยังย่ำแย่อย่างมากอีกด้วย แวนซ์อาจไม่ได้เห็นทุกสิ่ง แต่เขากลับประสบมาทั้งหมด แม้จะอยู่ในสภาพที่เลวร้ายก็ตาม
จึงเป็นที่มาของหนังสือ "Redneck Elegy"
ทรัมป์เลือกแวนซ์เพราะเขามีจินตนาการแบบเดียวกัน
สำหรับพวกเราคนนอก เรามักจะพบว่ามันแปลกไปนิดหน่อย ที่ทรัมป์ซึ่งเต็มไปด้วยคำโกหกและไม่มีอะไร(นอกจากเงิน)
ได้รับการต้อนรับจากคนจำนวนมากในสหรัฐอเมริกา และยังได้รับการสนับสนุนจากผู้คนจำนวนมากอย่างคลั่งไคล้อีกด้วย
แต่หากใช้จินตนาการเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในฉาก “Hillbilly Elegy” ในหลายๆเรื่องคุณก็อาจจะเข้าใจได้ไม่ยาก
เหตุผลที่สโลแกนเช่น "Make America Great Again" และ "America First" มีการทำงานร่วมกันที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ก็เพราะพวกเขาสัมผัสได้ถึงชีพจรของคนกลุ่มนี้อย่างถูกต้องและทรงพลัง
และนำความหวังมาสู่คนกลุ่มนี้
เพราะ เบื้องหลังคือความแตกแยกในสังคมอเมริกันระหว่างกระบวนการโลกาภิวัตน์ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา
ในปี 2561 เขาใช้แนวคิดเรื่องการถอนทุนและการล่มสลายของโครงสร้างเพื่ออธิบายการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างทางสังคมของอเมริกาในระหว่างกระบวนการโลกาภิวัตน์
เมื่อมองดูตอนนี้ สามคำที่อาจจะดูเหมาะสมกว่า คือ การถอนทุน การย้ายอุตสาหกรรม และการล่มสลายของโครงสร้าง
ในอีกชั้นหนึ่ง สังคมอเมริกันโดยรวมถูกกัดเซาะอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยภายนอกในกระบวนการโลกาภิวัตน์นั่นเอง
และเมื่อเร็วๆ นี้ มีเอกสารอีกสองฉบับได้รับความสนใจอย่างมาก
ซึ่งเอกสารฉบับแรกก็คือ "แผนปี 2568(Project 2025)" ของมูลนิธิ Heritage Foundation สิ่งสำคัญที่สุดคือ การฟื้นฟูสถานะของครอบครัวในฐานะแกนกลางของชีวิตชาวอเมริกัน
รื้อถอนอิทธิพลของหน่วยงานบริหารที่มีต่อสังคม ปกป้องอธิปไตยและพรมแดนของชาติ และปกป้องพระเจ้าให้ได้รับสิทธิในการดำรงชีวิตอย่างเสรี
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ให้ฟื้นฟูค่านิยมดั้งเดิมของอเมริกาและเสริมพลังให้กับประเทศนี้อีกครั้งโดยการฟื้นฟูค่านิยมดั้งเดิมของอเมริกา
เอกสารอีกฉบับหนึ่งคือ แพลตฟอร์มพรรครีพับลิกันปี 2567 ที่เพิ่งนำมาใช้ แบบสดๆร้อนๆ
สิ่งสำคัญ คือการปิดผนึกชายแดนเพื่อป้องกันการบุกรุกของผู้อพยพและดำเนินการส่งกลับประเทศที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา
อันที่จริงนี่เป็นความท้าทายสำคัญอีกประการหนึ่งที่สหรัฐอเมริกาและแม้แต่ประเทศตะวันตกทั้งหมดต้องเผชิญในกระบวนการโลกาภิวัตน์
ซึ่งก็คือปัญหาการย้ายถิ่นฐานและการเปลี่ยนแปลงที่หยั่งรากลึกลงในสังคมที่เกิดจากปัญหาการย้ายถิ่นฐาน
ในเรื่องนี้ ผมอยากเรียกมันว่า เป็นการปะทะกันของอารยธรรมภายใน นี่คือวิกฤตการณ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นซึ่งโลกตะวันตกกำลังเผชิญอยู่
ทรัมป์ ซึ่งเป็นตัวแทนของวิธีการตอบสนองต่อความท้าทายนี้ พูดง่ายๆ ก็คือ ฉันไม่พึ่งพาคุณอีกต่อไปแล้ว
ไม่ว่าใครก็ตามที่คุณรัก ฉันต้องการรักษาความสามารถของสหรัฐฯ ในการต่อสู้เพียงลำพัง
การใช้คำพูดโง่ๆในชีวิต ย่อมดีกว่า ให้พึ่งตนเองมากกว่าใครๆ
จากนี้ ชุดความคิดเห็นและนโยบายเกี่ยวกับกิจการระหว่างประเทศจึงแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากความคิดเห็นและนโยบายของพรรคเดโมแครต เช่น ที่มีต่อรัสเซียและตะวันออกกลาง
แก่นแท้ของมันคือการยอมรับพันธกรณีระหว่างประเทศให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งเรียกว่า เป็น....ลัทธิโดดเดี่ยว (เหมือนที่ทรัมฺยอมให้ประชาชนทั้งหมดติดโควิด-19)
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้ทำให้สหรัฐฯ เผชิญกับภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีกครั้ง
ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้คือสิ่งที่ไบเดน(แฮร์ริส)และพรรค ให้ความสำคัญและเน้นย้ำมาโดยตลอด
อย่างที่ ผมเคยกล่าวไปก่อนหน้านี้ ผมยังไม่รู้วิธีสรุปจินตนาการของพรรคเดโมแครตเกี่ยวกับปัญหาที่พวกเขาเผชิญอยู่
และผมเองก็ไม่รู้ว่าบทสรุปนี้จะเหมาะสมกับรูปการณ์หรือไม่
โดยยึดถือแนวความคิดเหล่านั้นในยุคโลกาภิวัตน์ รับมือกับสถานการณ์สงครามเย็นที่กำลังอุบัติขึ้น และรักษาตำแหน่งที่โดดเด่นของสหรัฐฯ ในกิจการระหว่างประเทศ
ในแง่นี้ ทรัมป์และพรรครีพับลิกันเป็นคนเก็บตัว ในขณะที่ไบเดน(แฮร์ริส)และพรรคเดโมแครตเป็นคนชอบแสดงออก
แต่ก้อนะ...นี่เป็นเพียงภาพเดียวที่ ต้องทำให้ง่ายขึ้นเมื่อต้องทำการสรุป
ที่จริงแล้วมีอย่างน้อยสองประเด็นที่ ต้องใส่ใจเมื่อคิดถึงปัญหาของภาพนี้ หนึ่งล่ะ...ในสิ่งที่เรียกว่าลัทธิโดดเดี่ยวของทรัมป์
มีประเด็นสำคัญมากในกิจการระหว่างประเทศ กล่าวคือ สถานภาพที่เป็นอยู่ไม่ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนแปลง
สอง คือ มันจะมีความคลุมเครือกับรัสเซียบนพื้นฐานของแนวคิดอนุรักษ์นิยม ผมขอเรียกเรียกสิ่งนี้ว่าเส้นมืดในอดีต
ถ้ามีคนอ่านผมก็จะหาเวลามาเขียนเกี่ยวกับเรื่องของทั้งสองประเด็นนี้ในภายหลังกันนะครับ(ถ้ายังไม่โดนลบโพสต์เสียก่อน)
สุดท้ายนี้(แต่ไม่ท้ายสุด ฮาาา) ทั้งสองย่อหน้าข้างบนนี้เปรียบเสมือนการฉายภาพความแตกต่างของทั้งสองพรรค กล่าวคือ
พรรคเดโมแครต ทำหน้าที่ได้ดีในการช่วยเหลือยูเครน สนับสนุนและผลักดันนโยบายระหว่างประเทศของพรรคเดโมแครต
และในขณะเดียวกันก็สนับสนุนนโยบายภายในประเทศของพรรครีพับลิกันในสหรัฐอเมริกา
หากไม่มีปัญหาในยูเครน ผมก็ไม่รู้ว่าใครจะอยู่ในอำนาจ ในขณะนั้น....
อย่างไรก็ตาม แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ปัญหาการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายจะพัฒนาไปสู่ระดับเด็ดขาดภายใน 4 ปี
และเช่นกันปัญหายูเครนจะสร้างสถานการณ์ที่ไม่อาจย้อนกลับได้ภายใน 4 ปี
อย่างไรก็ตาม ผมไม่คิดว่าทรัมป์จะเอาใจและยอมให้รัสเซียแยกยูเครนออก ยุโรปจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น
และจะนำมันเข้าสู่สงครามเป็นการส่วนตัวซะด้วยซ้ำ (เพราะสหรัฐฯ ไม่สามารถอยู่นอกสงครามได้) ไม่ต้องสงสัยเลยในเรื่องนี้ เพราะมันบ้าสงคราม ฮาาาาา
เหตุผลก็คือ อย่าลืมว่าจากมุมมองเชิงกลยุทธ์ รัสเซียที่อ่อนแอจะเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐอเมริกามากที่สุด
และทรัมป์ก็เชื่อสุดใจว่ามหาอำนาจทางตะวันออกเป็นศัตรูที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา
และจำเป็นต้องมุ่งความพยายามของพวกเขาในการจัดการกับมัน
อย่าคิดว่าหากสหรัฐฯ ปล่อยรัสเซียไป และมหาอำนาจทางตะวันออกก็จะยังคงเป็นพันธมิตรที่สำคัญต่อไป แม้จะไม่ใช่พันธมิตรที่แท้จริง
โฆษณา