21 ก.ค. เวลา 11:05 • ความคิดเห็น

Trump และ Crowdstrike ทำให้นึกถึงหนังสือ Fluke อีกครั้ง

สัปดาห์นี้มีข่าวใหญ่ระดับโลก 2 ข่าว
1. นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาและแคนดิเดตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน ถูกลอบยิงขณะปราศรัยที่เมืองบัตเลอร์ มลรัฐเพนซิลเวเนีย กระสุนเฉี่ยวใบหูขวา แต่ถ้าก่อนหน้านั้นเพียงเสี้ยววินาทีทรัมป์ไม่ได้หันหน้า วิถีกระสุนอาจแล่นเข้าที่กลางศีรษะ
2. CrowdStrike บริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับโลก ออกอัปเดตสำหรับซอฟต์แวร์ Falcon Sensor ทำให้อุปกรณ์ที่ใช้ Windows เกิดอาการจอฟ้า และระบบ IT ขัดข้องไปทั่วโลก
ทำให้ผมนึกถึงหนังสือ Fluke: Chance, Chaos, and Why Everything We Do Matters ของ Brian Klaas ที่ผมเขียนถึงเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว และยกให้เป็นหนังสือเปลี่ยนชีวิตประจำปี 2024
2
เพราะอะไร จะมาเล่าให้ฟังครับ
1
-----
หลายคนอาจเคยได้ยินเรื่องราวชนวนเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ใครที่ไม่คุ้นเคย ผมขอปูเรื่องสักนิดนึงนะครับ
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ความตึงเครียดในยุโรปกำลังไต่ระดับ โดยเฉพาะในคาบสมุทรบอลข่าน จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีได้ผนวกดินแดนบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาในปี 1908 ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับชาวเซอร์เบียที่ต้องการรวมชาติ
วันที่ 28 มิถุนายน 1914 อาร์ชดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ (Franz Ferdinand) รัชทายาทของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี พร้อมกับภรรยาคือดัชเชสโซฟี เดินทางมาเยือนเมืองซาราเยโว เมืองหลวงของบอสเนีย กลุ่มนักชาตินิยมเซอร์เบียจึงวางแผนลอบสังหารอาร์ชดยุค
ในช่วงเช้า ขณะที่ขบวนรถของอาร์ชดยุคแล่นผ่านถนนในเมือง หนึ่งในผู้ร่วมแผนการชื่อ Nedeljko Čabrinović ได้ขว้างระเบิดใส่รถของอาร์ชดยุค แต่ระเบิดพลาดเป้าและทำให้มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนอาร์ชดยุคและภรรยาปลอดภัย
2
หลังจากเหตุการณ์นี้ อาร์ชดยุคตัดสินใจเปลี่ยนกำหนดการและเดินทางไปเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาล ระหว่างทาง คนขับรถเกิดความสับสนในเส้นทางและเลี้ยวเข้าผิดซอย และขับผ่าน Gavrilo Princip หนึ่งในกลุ่มนักชาตินิยมเซอร์เบียที่ยืนอยู่ในซอยนั้นพอดี
2
Princip สบโอกาส จึงยิงปืนสองนัด กระสุนนัดแรกถูกอาร์ชดยุคที่ลำคอ ส่วนนัดที่สองถูกดัชเชสโซฟีที่ช่องท้อง ทั้งสองเสียชีวิตในเวลาไม่นาน
เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสถานการณ์ในยุโรป ออสเตรีย-ฮังการีกล่าวหาว่าเซอร์เบียอยู่เบื้องหลังการลอบสังหาร และส่งคำขาดให้เซอร์เบียยอมรับเงื่อนไขที่เข้มงวด เมื่อเซอร์เบียปฏิเสธ ออสเตรีย-ฮังการีจึงประกาศสงคราม ด้วยระบบพันธมิตรที่ซับซ้อนในยุโรปขณะนั้น ทำให้ประเทศมหาอำนาจอื่นๆ ทยอยประกาศสงครามตามมา จนกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 1 ในที่สุด
2
-----
ในหนังสือ Fluke ผู้เขียนเล่าว่า ก่อนหน้านั้นเพียง 7 เดือน อาร์ชดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์และดัชเชสโซฟี ได้รับเชิญให้ไปเยือนอังกฤษ และอาร์ชดยุคก็ได้ออกทริปล่าสัตว์ที่ Welbeck Abbey (อยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองแมนเชสเตอร์ประมาณ 100 กิโลเมตร)
วันนั้นเพิ่งมีหิมะตก พื้นดินจึงลื่น คนที่ทำหน้าที่โหลดประสุนปืนลื่นล้ม ทำปืนตกพื้นจนปืนลั่น กระสุนคลาดอาร์ชดยุคไปเพียงไม่กี่ฟุต
2
ถ้าอาร์ชดยุคโดนกระสุนปืนและเสียชีวิตใน Welbeck Abbey ตั้งแต่วันนั้น ก็น่าคิดว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 จะยังเกิดขึ้นหรือไม่ แต่ถึงแม้จะเกิด ก็คงเป็นบริบทที่ต่างออกไปจนอาจไม่ได้นำไปสู่การก่อกำเนิดของนาซีที่เป็นชนวนเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เป็นได้
2
หากวิถีกระสุนเปลี่ยนเพียงนิดเดียว โลกของเราอาจไม่ได้มีหน้าตาอย่างทุกวันนี้
1
การหันหน้าของทรัมป์ในเสี้ยววินาทีก่อนที่มือปืนจะลั่นไก อาจเปลี่ยนประวัติศาสตร์โลกไปได้ตลอดกาลได้เช่นกัน
3
-----
1
เมื่อวานนี้ CNN ได้พาดหัวข่าว "How the world’s tech crashed all at once" ที่อธิบายว่าทั่วโลกเกิดจอฟ้าได้อย่างไร
Costin Raiu นักวิจัยด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ให้สัมภาษณ์กับ CNN ว่า
"คนส่วนใหญ่เชื่อว่าวันสิ้นโลกจะเกิดจากการที่ AI ยึดครองโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และปิดระบบไฟฟ้า ในขณะที่ความจริงแล้ว สิ่งที่เป็นไปได้มากกว่า คือโค้ดที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยซึ่งนำไปสู่การอัปเดตระบบที่ผิดพลาด และสร้างปฏิกิริยาลูกโซ่ในระบบคลาวด์ที่เชื่อมโยงถึงกันหมด"
1
ในหนังสือเรื่อง Fluke ได้พูดเอาไว้ว่า เมื่อเราอยู่ในโลกที่ทุกสิ่งเชื่อมถึงกัน (hyperconnected world) ก็จะมีโอกาสเกิด black swans ได้มากขึ้นเช่นกัน
1
Black swan คือเหตุการณ์ที่คาดเดาไม่ได้และส่งผลกระทบรุนแรงหรือเป็นวงกว้าง อย่างเช่นเหตุการณ์ Crowdstrike ในครั้งนี้ที่เกิดขึ้นแบบไม่มีปีไม่มีขลุ่ย และไม่เคยมีใครออกมาเตือนล่วงหน้า นี่จึงเป็นเหตุการณ์ที่เซอร์ไพรส์ทุกคนและตั้งรับกันแทบไม่ทัน
2
CrowdStrike เป็นบริษัทที่สร้างระบบตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ ซึ่งบริษัทก็เติบโตเป็นอย่างมากจนมีลูกค้าอยู่ทั่วโลกและมีมูลค่าบริษัทสูงถึง 95 billion USD (ก่อนจะลดลงมาเหลือ 74 billion USD หลังเกิดเหตุการณ์จอฟ้า)
2
ส่วน Microsoft Windows ก็เป็นระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่มีคนใช้งานมากที่สุดในโลก โดยมีส่วนแบ่งทางตลาดเกิน 70% ที่รองลงมาคือ macOS และ Linux
2
เมื่อในตลาดมี "ผู้ชนะ" เพียงไม่กี่ราย ข้อดีคือมี econonomy of scale และอุปกรณ์สามารถเชื่อมต่อกันง่ายขึ้น
แต่ข้อเสียก็คือระบบนิเวศทาง IT ไม่มีความหลากหลาย เมื่อเกิดปัญหาหนึ่งขึ้นมาจึงส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
3
ราคาที่ต้องจ่ายของการ (over)optimization คือความเปราะบางหรือ fragility ของทั้งระบบ
2
Brian Klaas เคยให้สัมภาษณ์กับ New Statesman ไว้ว่า
"เราได้ออกแบบโลกที่มีแนวโน้มจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา"
2
โดย Klaas ยกตัวอย่างวิกฤติเรือ Ever Given ของบริษัท Evergreen Marine
1
วันที่ 23 มีนาคม 2021 เรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ Ever Given ออกจากท่าเรือในจีนและมุ่งหน้าสู่เนเธอร์แลนด์ แต่ระหว่างที่แล่นผ่านคลองสุเอซก็เกิดลมแรงจนเรือสูญเสียการควบคุม หัวเรือไปเกยเข้ากับฝั่ง และกีดขวางเส้นทางของคลองสุเอซอยู่ 6 วัน สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจถึง 54,000 ล้านดอลลาร์
3
"เรือแค่ลำเดียวไม่เคยสร้างความเสียหายระดับนี้ได้มาก่อนในประวัติศาสตร์ แต่ตอนนี้มันก็เกิดขึ้นแล้ว และเหตุผลที่มันเกิดขึ้นได้ก็เพราะเราได้ปรับแต่งโลกให้มีประสิทธิภาพเสียจนไม่มีพื้นที่ว่างให้ความผิดพลาดเลย"
8
ผมคิดว่าปรากฎการณ์เรือขวางคลองสุเอซมีความละม้ายคล้ายคลึงกับถนนหนทางในกรุงเทพ ที่พอรถเสียหรือรถจอดแช่อยู่แค่เลนเดียวก็ทำให้รถติดได้หลายร้อยเมตร
1
เมื่อเรามุ่งสู่ economony of scale และ cost opimization ตามแบบฉบับของทุนนิยมที่มุ่งเน้นกำไรสูงสุด ปัญหาที่คาดไม่ถึงจึงอาจส่งผลลุกลามกว้างไกลได้เสมอ
-----
1
ในหนังสือเรื่อง Fluke ยังพูดถึง Local stability / Global instability อีกด้วย
ในสมัยก่อน สมัยที่มนุษย์ยังไม่ได้เริ่มทำกสิกรรม เราหาอยู่หากินด้วยการล่าสัตว์และเก็บพืชผล บางวันก็ล่าสัตว์ได้ บางวันก็กลับบ้านมือเปล่า บางวันก็เกิดอุบัติเหตุหรือต่อสู้กันจนถึงขั้นเสียเลือดเสียเนื้อ ในแต่ละวันมนุษย์จึงต้องคอยลุ้นว่าจะยังรักษาชีวิตรอดจนถึงอาหารมื้อถัดไปหรือไม่ นี่คือสิ่งที่ Klaas เรียกว่า local instability คือความไม่แน่นอนของชีวิตวันต่อวัน
แต่ถ้ามองในภาพใหญ่ โลกสมัยนั้นแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย เพราะมนุษย์ยังไม่ได้มีเครื่องไม้เครื่องมืออะไรที่จะสร้างผลกระทบกับโลกได้เป็นวงกว้าง หากมีมนุษย์ต่างดาวถ่ายรูปโลกเมื่อ 20,000 ปีที่แล้ว กับโลกเมื่อ 15,000 ปีที่แล้ว รูปถ่ายอาจจะออกมาเหมือนกันเลยก็ได้ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า global stability
3
โลกยุคก่อนจึงมี local instability และ global stability
1
แต่โลกสมัยนี้นั้นพลิกผัน เพราะเรามี local stability และ global instability
2
ระดับ local ชีวิตเราหน้าตาเหมือนเดิมทุกวัน แทบทุกอย่างคาดการณ์ได้ เราไม่ต้องลุ้นวันต่อวันว่าจะได้กินข้าวมื้อถัดไปเมื่อไหร่ ถ้าเดินเข้าร้านกาแฟหรือฟาสต์ฟู้ดยี่ห้อดังไม่ว่าจะสาขาไหนประเทศใดเราก็พอจะคาดเดาได้ว่าจะมีเมนูและการบริการอะไร นี่คือ local stability
4
แต่ในระดับโลกนั้น เรามี global instability มากกว่าที่เคยเป็นมา ทั้งในแง่ภูมิรัฐศาสต์ ทั้งภาวะโลกร้อน ทั้งระบบ IT ที่เชื่อมต่อถึงกันหมดในระดับที่ว่าผีเสื้อกระพือปีกในเท็กซัสก็อาจทำให้เครื่องจอฟ้าได้ที่ดอนเมืองนั่นเอง
3
-----
1
หนังสือ Fluke มอบเลนส์ให้มองสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนได้ชัดขึ้น และบอกใบ้ว่าเราจะเตรียมตัวเตรียมใจอย่างไรเพื่อจะอยู่ต่อไปกับโลกที่คาดเดาไม่ได้ใบนี้
2
เมื่อวันเสาร์ที่ 29 มิ.ย. ตอน 8 โมงเช้า ผมได้จัด online discussion ให้กับผู้ติดตามบล็อกที่ได้อ่านหนังสือ Fluke มีคนมาร่วมเกือบ 20 คน เป็นการพูดคุยที่ได้มุมมองน่าสนใจกลับไปขบคิดต่อเยอะมาก
2
และเนื่องจากว่ามีหลายท่านที่ทักอินบ็อกซ์มาว่าเสียดายที่มาร่วมไม่ได้ อยากให้มีจัดอีกครั้ง ผมเลยมีความตั้งใจจะนัด online discussion หนังสือ Fluke อีกสักรอบในเดือนสิงหาคมหรือกันยายน โดยคราวนี้น่าจะเป็นช่วงหัวค่ำวันเสาร์หรืออาทิตย์
1
ถ้าใครสนใจก็ลงชื่อไว้ในลิงค์ที่อยู่ในช่องคอมเมนท์ได้เลยครับ ไม่มีค่าใช้จ่าย และไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือจบก็เข้าร่วมได้ครับ เมื่อได้วันเวลาที่แน่นอนแล้วผมจะส่งอีเมลไปแจ้งรายละเอียดอีกทีครับผม
โฆษณา