22 ก.ค. เวลา 06:00 • ธุรกิจ

เปิด 6 ซูเปอร์ดีลธุรกิจ ยักษ์ใหญ่ 'ควบรวม' ขยายอาณาจักร

เปิด 6 ซูเปอร์ดีลธุรกิจ ยักษ์ใหญ่ 'ควบรวม' ขยายอาณาจักร ล่าสุด GULF ควบรวมกิจการ INTUCH จัดตั้งเป็น “บริษัทใหม่ชื่อ NewCo” คาดตั้งบริษัทใหม่ได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2568 รวมกันเท่ากับ 774,378.43 ล้านบาท เตรียมเขยิบติด 1 ใน 5 มาร์เก็ตแคปสูงสุด
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราได้เห็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในเมืองไทย มีการการควบรวมกิจการ (Mergers and Acquisitions) เพื่อเสริมความสามารถทางธุรกิจ และช่วยยกระดับความสามารถของธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตเพิ่มยิ่งขึ้น และยังช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างมูลค่าจากการควบรวม รวมไปถึงการที่อาจจะมี สินค้า บริการ และนวัตกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้น เป็นประโยชน์ต่อผูู้บริโภคอีกด้วย
เฉกเช่นกรณี GULF พี่เบิ้มโรงไฟฟ้า ควบรวบ INTUCH สายแข็งด้านเทคโนโลยี รุกอินฟราเทคเพื่อเป็นการปรับโครงสร้างของบริษัทที่เกี่ยวข้องให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการดำเนินการในการบริหารจัดการและการลงทุนในอนาคต
ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ก่อนหน้านี้มีบริษัทที่มีการรวมกันและเกิดเป็นบริษัทใหม่ล่าสุดก็จะเป็น DTAC กับ TRUE หรือหากย้อนไปอีกจะมี หุ้น BEM ที่มาจาก BECL กับ BMCL และออกมาเป็นบริษัทใหม่ชื่อว่า BEM หรือ JWD ควบรวม SCGL เปลี่ยนชื่อเป็น SJWD และหลังจากที่มีการควบรวมกิจการแล้วส่วนใหญ่ก็ดีขึ้นหมด และดีกว่าที่แยกกันอยู่ ซึ่งเป็นการนำจุดดีของแต่ละบริษัทเข้ามาช่วยให้บริษัทใหม่มีความแข็งแกร่งขึ้น
ยกตัวอย่าง DTAC กับ TRUE ซึ่ง TRUE มีความอ่อนแอทางการเงิน ขณะที่ DTAC มีความแข็งแกร่งด้านการเงิน จึงทำให้โครงสร้างทางการเงินสมดุลมากขึ้นพอได้มารวมกัน ส่งผลให้ภาระหนี้มีการปรับตัวลดลง ทำให้ดอกเบี้ย ต้นทุนทางการเงินก็ต่ำลง ส่วน DTAC ก็อาจจะไม่มีธุรกิจไฟเบอร์ให้บริการ และได้ TRUE เข้ามาเติมในเน็ตบ้านที่ทำได้ดี เป็นต้น
เพราะฉะนั้นในหุ้น GULF กับ INTUCH เป็นการนำจุดดีของแต่ละบริษัทมารวมกัน ซึ่ง INTUCH เป็นธุรกิจสื่อสาร มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งมาก ส่วน GULF เป็นธุรกิจโรงไฟฟ้า ซึ่งมีภาระหนี้ เมื่อเกิดบริษัทใหม่จะทำให้เกิดการบาลานซ์โครงสร้างทางการเงินได้ และสุดท้ายโครงสร้างในการดำเนินงานเป็นการนำจุดดีมารวมกัน ในธุรกิจอนาคตอย่าง data center และ Cloud และ AI ต้องใช้ไฟฟ้าเยอะ
“ในการเข้ามารวมกันของ GULF กับ INTUCH แม้จะเป็นการรวมกันในคนละธุรกิจ แต่สุดท้ายทั้ง 2 ธุรกิจจะไปด้วยกัน โดยเฉพาะธุรกิจประมวลผลทางด้าน AI หรือ data center หรือ Cloud ที่จะมีการใช้ไฟที่มากขึ้น จึงทำให้เห็นภาพว่า ในอนาคตจะ Synergy ต่อกันอย่างแน่นอน”
โดยในอนาคตยังเชื่อว่า บริษัทที่จะมีการจัดตั้งขึ้นมาจะมี Synergy ที่มีความยิ่งใหญ่มากขึ้น แน่นอนจะไปมีการไปดึงเม็ดเงินลงทุนให้มาสนใจในบริษัทใหม่ได้ เพราะเมื่อนำ GULF และ INTUCH มารวมกัน จะมีมาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นกว่า 6-7 แสนล้านบาท ซึ่งจะอยู่ในระดับเบอร์ 4 ของตลาดหุ้นไทย จะทำให้บริษัทใหม่มีความใหญ่ และถูกจัดให้อยู่ในทุกดัชนี จึงทำให้สามารถเรียกเม็ดเงินลงทุนเข้ามาได้เยอะ
กรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในการควบรวมกิจการต้องดูว่า Synergy คือ รวมกันแล้วโดยเฉพาะบริษัทมหาชน ต้องได้มากกว่า 2 ที่มากกว่า Synergy เช่น DTAC กับ TRUE ที่มีการควบรวมกิจการ จะเป็น Synergy ในการลดคอร์สค่าใช้จ่ายได้เยอะ เพราะฉะนั้นก็จะทำให้มีการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง
แต่ในแง่ของ GULF กับ INTUCH จะมี Synergy ที่มากกว่า เนื่องจากว่า Singtel จะเข้ามาถือหุ้นในบริษัทใหม่ด้วย ในสัดส่วน 9% ซึ่ง Singtel มีการขยายกิจการไปในส่วนของ data center ค่อนข้าง ส่งผลให้ทิศทางธุรกิจใหม่ในอนาคตไม่ได้เป็น Synergy ในการลดค่าใช้จ่าย เหมือนธุรกิจอื่น ๆ ที่เคยควบรวมกันมาก่อนหน้านี้ แต่เป็น Synergy ของการเติบโตของธุรกิจใหม่ ซึ่ง GULF จะหลุดจากโรงไฟฟ้าเดิม ๆ และเป็นธุรกิจอินฟราสตัคเจอร์
แม้ว่าจะเกิดการควบรวมกิจการกันขึ้นมา ส่งผลให้ประชาชนอาจจะมีความกังวลว่า เมื่อมีผู้เล่นน้อยรายมากขึ้นจะเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคหรือไม่ อย่าง DTAC กับ TRUE ที่ผู้ใช้บริการอาจจะมีความกังวลว่าจะมีการปรับขึ้นราคาหรือไม่ เพราะมีคู่แข่งที่น้อยราย แต่ในความเป็นจริงก็เห็นแล้วว่า ไม่เป็นเช่นนั้น และยังไม่เห็น เพราะเป็นปัจจุบันยังคงมากฎเกณฑ์รองรับให้กับผู้บริโภคอยู่
1
โฆษณา