23 ก.ค. เวลา 04:14 • ประวัติศาสตร์

“จักรพรรดิเอลากาบาลัส (Elagabalus)” จักรพรรดิ LGBTQ+ แห่งจักรวรรดิโรมัน

ในสมัยจักรวรรดิโรมันโบราณ ไลฟ์สไตส์เรื่อง “เซ็กส์” หรือเรื่องทางเพศต่างๆ ขององค์จักรพรรดิ ล้วนมีควาสวิจิตรพิสดารเกินกว่าที่หลายคนคิด และการรักร่วมเพศก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
หากแต่สำหรับ “จักรพรรดิเอลากาบาลัส (Elagabalus)” ซึ่งครองราชย์เมื่อปีค.ศ.218-222 (พ.ศ.771-765) นั้นต่างไปจากจักรพรรดิองค์อื่นๆ และทำให้แม้แต่ชาวโรมันด้วยกันก็ยังฉงนและรู้สึกว่าหลายสิ่งหลายอย่างนั้นเกินไป
เรื่องราวเป็นอย่างไร ลองมาดูกันครับ
“จักรพรรดิเอลากาบาลัส (Elagabalus)” เสด็จพระราชสมภพในปีค.ศ.204 (พ.ศ.747) และทรงรักสวยรักงามตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
1
จักรพรรดิเอลากาบาลัส (Elagabalus)
พระองค์ทรงโปรดที่จะฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมจีน โปรดการแต่งพระพักตร์ และมักจะทรงโกนขนตามพระวรกายออกให้เกลี้ยงเกลา
นอกจากนั้น พระองค์ยังมักฉลองพระองค์ด้วยเสื้อผ้าสตรี ทรงสวมเต้านมปลอม และทรงสวมวิกให้เหมือนสตรี อีกทั้งยังทรงประกาศว่าหากใครสามารถเปลี่ยนอวัยวะเพศชายของพระองค์ให้เป็นอวัยวะเพศหญิงได้ พระองค์จะพระราชทานรางวัลให้อย่างงาม
และถึงแม้พระองค์จะต้องอภิเษกสมรสกับสตรี หากแต่พระองค์ก็ทรงรักนักกีฬาแข่งรถม้าที่มีนามว่า “ฮีโรเคิลส์ (Hierocles)”
1
จักรพรรดิเอลากาบาลัสมักจะทรงควงแขนฮีโรเคิลส์ เสด็จไปทั่วกรุงโรม และตรัสเรียกฮีโรเคิลส์ว่าเป็น “สามี” ของพระองค์ โดยพระองค์เคยมีรับสั่งว่า
“ข้าภูมิใจที่ได้เป็นภรรยา เมียน้อย ราชินีแห่งฮีโรเคิลส์”
แต่ถึงอย่างนั้น พระองค์ก็ไม่ได้ทรงมีแต่ฮีโรเคิลส์เพียงผู้เดียว โดยพระองค์มีรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปตามหาชายหนุ่มที่มีอวัยวะเพศขนาดใหญ่โต และให้นำมาเข้าเฝ้าพระองค์ ให้พระองค์ทรงเสพสมกับชายหนุ่มเหล่านั้น
นี่ก็เป็นเรื่องราวชีวิตส่วนหนึ่งของพระองค์เท่านั้น
สำหรับเรื่องราวการครองราชย์นั้น จักรพรรดิเอลากาบาลัสได้ขึ้นครองราชสมบัติในปีค.ศ.218 (พ.ศ.761) ขณะที่มีพระชนมายุเพียง 14 พรรษา และทรงใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟู่ฟ่า
หากให้ยกตัวอย่างความมั่งคั่งและการใช้ชีวิตของพระองค์ ก็เช่น หากจะว่ายน้ำ สระน้ำที่จะให้พระองค์ทรงว่ายนั้น จะต้องตกแต่งด้วยหญ้าฝรั่นให้มีกลิ่นหอม ไม่อย่างนั้นพระองค์จะไม่ทรงว่ายน้ำในสระนั้นเด็ดขาด นวมที่พระองค์ทรงใช้นอนนั้นก็ต้องทำมาจากขนกระต่าย
และในขณะเสด็จเข้าสู่กรุงโรม รถม้าพระที่นั่งของพระองค์นั้นจะถูกลากจูงโดยเด็กหญิงวัยรุ่นที่เปลือยกาย และระหว่างทาง จักรพรรดิเอลากาบาลัสก็จะทรงโยนทองคำไปให้เหล่าฝูงชน และทอดพระเนตรประชาชนตบตี ต่อสู้กันเพื่อแย่งทองคำ สร้างความสำราญพระทัยแก่พระองค์
ในงานเลี้ยงของพระองค์นั้น พระองค์ก็จะทรงปล่อยสิงโตและเสือดาวทรงเลี้ยงที่ถูกฝึกให้เชื่องแล้วไปยังเหล่าแขกเหรื่อ เหตุผลก็แค่เพราะว่าพระองค์ทรงสำราญหากเห็นแขกเหรื่อตกใจ หวาดกลัว
สำหรับชีวิตสมรส จักรพรรดิเอลากาบาลัสได้อภิเษกสมรสมาถึงสี่ครั้ง โดยพระองค์ทรงเคยอภิเษกสมรสกับนักบวชหญิงแห่งเวสตา (Vestal Virgins) ซึ่งนับเป็นการทำผิดกฎร้ายแรงของชาวโรมัน
นักบวชหญิงแห่งเวสตา เป็นผู้ที่อุทิศตนให้ “เวสตา (Vesta)” เทพีแห่งการครองเรือนและเตาไฟ หากนักบวชหญิงมีเพศสัมพันธ์ ก็จะถูกลงโทษด้วยการฝังทั้งเป็น
2
เวสตา (Vesta)
จักรพรรดิเอลากาบาลัสยังทรงแต่งตั้งสมาชิกสภาสตรีเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของโรมัน โดยผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งก็คือพระราชมารดาและ “จูเลีย มาเอสา (Julia Maesa)” ผู้เป็นพระอัยกา (ย่า) และมีการก่อตั้งสภาสำหรับสตรี
3
สภาสตรีได้บัญญัติกฎหมายเรื่องการแต่งกาย การนั่งรถม้า และการใส่เครื่องประดับ และการมีสภาสตรีก็เป็นเหมือนการดูถูกสภาโรมัน อีกทั้งจักรพรรดิเอลากาบาลัสยังทรงเปลี่ยนเทพเจ้าของชาวโรมันอีกด้วย ทำให้ประชาชนชาวโรมันต่างไม่พอใจ
ทางด้านพระอัยกาอย่างจูเลีย มาเอสานั้น เป็นผู้ที่กระหายอำนาจ และไม่ต้องการจะสูญเสียอำนาจ และก็เป็นมาเอสานี่แหละที่ช่วยผลักให้จักรพรรดิเอลากาบาลัสได้ครองบัลลังก์
จูเลีย มาเอสา (Julia Maesa)
และเมื่อเห็นแล้วว่าทั้งประชาชนและเหล่าขุนนางต่างไม่ยอมรับพระประมุข LGBTQ+ อย่างจักรพรรดิเอลากาบาลัสเป็นแน่ มาเอสาจึงคิดหาทางที่จะรักษาอำนาจของตนไว้หากจักรพรรดิเอลากาบาลัสถูกโค่นบัลลังก์
ในปีค.ศ.221 (พ.ศ.764) มาเอสาได้ทูลโน้มน้าวให้จักรพรรดิเอลากาบาลัสแต่งตั้ง “เซเวอรัส อเล็กซานเดอร์ (Severus Alexander)” ซึ่งเป็นหลานอีกคนของมาเอสา ให้เป็นองค์รัชทายาท
11 มีนาคม ค.ศ.222 (พ.ศ.765) จักรพรรดิเอลากาบาบัสได้เสด็จพร้อมด้วยเซเวอรัส อเล็กซานเดอร์ พระราชมารดา และพระอัยกาไปตรวจเยี่ยมค่ายทหารไปรโตริอานี
ปรากฎว่าเหล่าทหารต่างสรรเสริญเซเวอรัส อเล็กซานเดอร์ และต่างเมิน ไม่สนใจจักรพรรดิเอลากาบาลัส ทำให้พระองค์ทรงกริ้ว และสั่งประหารเหล่าทหาร
เซเวอรัส อเล็กซานเดอร์ (Severus Alexander)
แต่สิ่งที่ทหารทำ ก็คือทำการปลงพระชนม์จักรพรรดิเอลากาบาลัสและพระราชมารดา ก่อนจะนำพระบรมศพที่เปลือยเปล่าลากประจานไปทั่วเมือง ก่อนจะโยนพระบรมศพลงแม่น้ำ
จักรพรรดิเอลากาบาลัสสวรรคตขณะมีพระชนมายุเพียง 18 พรรษา และเหตุการณ์ทั้งหมดนั้น มาเอสาผู้เป็นพระอัยกาก็เฝ้ามองอยู่ตลอดอย่างสงบ
ภายหลังจักรพรรดิเอลากาบาลัสสวรรคต เซเวอรัส อเล็กซานเดอร์ก็ได้ขึ้นครองราชย์สืบต่อไป และสภาก็ได้ออกคำสั่งให้ทำลายทุกสิ่งอย่างที่บ่งบอกว่าจักรพรรดิเอลากาบาลัสเคยดำรงอยู่ มีการเขียนบันทึกประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่
และจนถึงทุกวันนี้ เรื่องราวของจักรพรรดิ LGBTQ+ พระองค์นี้ก็ยังเป็นที่เล่าขานและเป็นตำนานหนึ่งของกรุงโรมมาถึงปัจจุบัน
สั่งซื้อหนังสือ “ประวัติศาสตร์แห่งความหลอกลวง 5,000 ปีของการต้มตุ๋น ฉ้อโกง โกหก ปลอมแปลง” ได้ตามลิ้งค์นี้นะครับ
โฆษณา