21 ก.ค. เวลา 14:28 • ความคิดเห็น

นักบินผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยจินตนาการ

มีคำกล่าวหนึ่งบอกว่า "ตรรกะจะพาคุณจากจุด A ไปจุด B หากแต่ 'จินตนาการ' จะพาคุณไปทุกที่"
หากจะพูดถึงนักบินชาวฝรั่งเศส มีอยู่คนหนึ่งที่ห้ามลืมที่จะกล่าวถึง นักบินคนนี้มีจินตนาการที่ไร้ขอบเขต ความคิดของเขาไปไกลเกินกว่าขอบโลก เขาร่ายเรื่องราวผ่านงานเขียนที่เป็นอมตะ ติดตรึงใจผู้คนทุกช่วงวัยไปตลอดกาล ชายผู้ที่ชื่อว่า 'อองตวน เดอ แซงเตก-ซูเปรี (Antoine de Saint-Exupery)'
เราเรียกเขาสั้นๆว่า 'แซงเตก'
แซงเตก เกิด ปี ค.ศ.1900 เป็นชาวฝรั่งเศส เมื่อวัยเด็ก เขาชอบเล่นมากกว่าเรียน ชอบวาดรูป ชอบฟังนิทานจากแม่ สมองทุกส่วนเชื่อมโยง สะสมคำและบทกวีมากมายโดยไม่รู้ตัว แม้เกิดในครอบครัวที่มีฐานะดี แต่ต้องเสียพ่อตั้งแต่เล็ก กระนั้นผู้เป็นแม่ก็ไม่เคยหยุดเล่านิทานให้เขาฟังทุกวัน ในยุคนั้น คือยุคเริ่มต้นของเครื่องบิน
ขณะ แซงเตก อายุได้ 3 ขวบ เครื่องบินลำแรกของโลกก็ถือกำเนิดขึ้นโดยสองพี่น้องช่างซ่อมจักรยาน (สองพี่น้องไร้ต์)
วัย 12 ขวบ เมื่อเริ่มโตขึ้นและได้มีโอกาสนั่งเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต ความฝันก็บังเกิด 'นักบิน' คืออาชีพที่ใช่สำหรับเขา เพราะเมื่อได้เห็นท้องฟ้าในอีกมุมมองหนึ่ง ก้อนเมฆ และทุกพื้นที่ที่บินผ่าน มันทำให้จินตนการของเขาโลดแล่นออกไปไกลมากยิ่งขึ้น นั่นคือปฐมบทของการตัดสินใจเลือกเดินสู่เส้นทางอาชีพนักบินของเขา
อายุ 21 ปี เขาตัดสินใจสมัครรับใช้ชาติ เป็นทหารสังกัดกองทหารม้าเบา กองทัพบกฝรั่งเศส ที่สตราสบูร์ก ด้วยความลุ่มหลงในการบิน เขาจึงขอย้ายไปประจำการที่กองทัพอากาศฝรั่งเศส จากนั้นจึงได้มีโอกาสเข้ารับการฝึกเป็นนักบินของกองทัพอากาศที่นั่น
ปี ค.ศ. 1921 เขาได้บินปล่อยเดี่ยวครั้งแรก ความฝันที่เป็นจริง การได้สัมผัสอากาศข้างบนนั้น ทำให้เขามั่นใจในการบินมากขึ้น การฝึกบินดำเนินต่อไป แล้วอุปสรรคก็เข้ามาทดสอบ เขาประสบอุบัติเหตุเครื่องตกขณะฝึกบินเดี่ยว แม้เขาปลอดภัย แต่เครื่องบินเสียหายยับเยิน การฝึกบินสำหรับเขาต้องถูกระงับไปชั่วคราว ดูเหมือนเส้นทางนักบินในชีวิตของเขาจะไม่ได้ราบเรียบนัก
ใช่ว่าในชีวิตศิษย์การบินของทุกคนที่เลือกเดินในสายอาชีพนี้จะราบรื่น ยิ่งมีอุบัติเหตุแบบนี้เกิดขึ้น หลายคนอาจตัดสินใจไม่ไปต่อ .. แต่มันไม่ใช่สำหรับเขา
ต่อมากองทัพอากาศได้ให้โอกาสกับเขา ในการตัดสินใจที่จะ 'ฝึกต่อ' หรือ 'ถอนตัว' แน่นอนว่า เขาตัดสินใจที่จะ 'ไปต่อ'
กระทั่งฝึกบินต่อจนจบหลักสูตร และได้รับใบอนุญาตนักบินในปี ค.ศ. 1922 จากนั้นเมื่อรับใช้ชาติครบกำหนด เขาก็ได้ออกจากกองทัพในปี ค.ศ.1923 ชีวิตหลังจากนั้นคือโลกของการบินเชิงพาณิชย์
ในยุคแรกเริ่มแรกของวงการบิน
'การบินไปรษณีย์' คือหนึ่งในธุรกิจการบินเชิงพาณิชย์ในสมัยนั้น แซงเตก เข้าร่วมเป็นนักบินให้กับบริษัท ชาเนอราล แอโรพอสทาล (Générale Aéropostale) ในปี ค.ศ. 1926
บริษัทนี้บุกเบิกการบริการไปรษณีย์ทางอากาศ เชื่อมโยงฝรั่งเศสกับแอฟริกา และอเมริกาใต้
ในทุกห้วงยามของการบิน ในทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามา เขาเขียนจดบันทึกทุกบททุกตอนเอาไว้ ผ่านการร้อยเรียงทั้งรูปแบบเรื่องเล่า เรื่องสั้น บทกวี และนิยาย นอกจากจะเป็นนักบินแล้วเขายังเป็นนักจินตนาการตัวยงอีกด้วย
แซงเตก ถือได้ว่าเป็นนักบินที่เกิดในยุคต้นของวิวัฒนาการของการบิน สมัยนั้นผู้ที่หลงใหลในการบินมักจะพยายามทำลายสถิติทางการบินต่างๆที่เกิดขึ้น มันคือการเอาชนะตัวเอง มันคือแรงบันดาลใจ
สำหรับเขาก็เฉกเช่นนักบินคนอื่นๆ
ครั้งหนึ่ง เขาพยายามทำลายสถิติด้านความเร็ว ด้วยการบินจากปารีสไปไซ่ง่อน (เวียดนาม) เพื่อพยายามโปรโมตเที่ยวบินที่สามาถทำเวลาได้เร็วที่สุด สำหรับเส้นทางระหว่างยุโรปและเอเซีย
เที่ยวบินนั้นล้มเหลว เครื่องบินมีเหตุขัดข้อง เครื่องตกลงกลางทะเลทรายสะฮารา ประเทศลิเบีย เขาและนักบินผู้ช่วยต้องรอนแรมในทะเลทราย 4 วันเต็ม ผ่านค่ำคืนที่เวิ้งว้าง รอบกายมีแค่เพียง 'สายลม ผืนทราย และแสงดาว'
ในวันที่ 4 ก่อนที่ผืนทรายจะกลบร่างที่ไร้เรี่ยวแรง พวกเขาก็ได้รับการช่วยเหลือจากชาวอาหรับเผ่าเบดูอินที่เดินทางผ่านมา
แซงเตก ออกมาเป็นนักบินพาณิชย์ได้ราว 14 ปี กระทั่งปี ค.ศ. 1940 เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ห้วงยามแห่งสงคราม (สงครามโลกครั้งที่ 2) การถูกเรียกตัวเพื่อรับใช้ชาติในฐานะนักบินจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ สำหรับเขามันคือหน้าที่อันทรงเกียรติที่ยิ่งใหญ่มาก
เยอรมันบุกฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1940 ภารกิจในฐานะนักบินของเขาคือการบินลาดตระเวนเหนือสนามรบในแดนข้าศึก ความขัดแย้งของมนุษย์ทำลายโลกอย่างย่อยยับ ขณะบินลาดตระเวน สิ่งที่เขาเห็นมีแต่ซากและควันหลงจากการทำลายล้าง ในที่สุดฝรั่งเศสได้พ่ายแพ้ต่อเยอรมัน และเขาต้องย้ายไปอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่นั่นเขาได้เขียนหนังสือที่มีชื่อเสียงหลายเล่ม เช่น เรื่อง 'Flight to Arras' และ 'The Little Prince'
ค.ศ. 1943 เขากลับฝรั่งเศสเพื่อไปรับใช้ชาติอีกครั้ง บินเหนือน่านฟ้าฝรั่งเศสและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเพื่อรวบรวบข้อมูล ตำแหน่งและการเคลื่อนไหวของข้าศึก
เช้าวันที่ 31 ก.ค. 1944 เขาได้บินขึ้นจากฐานทัพอากาศที่เกาะคอร์ซิกา (Corsica) ภารกิจลาดตระเวนบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส ขณะขับนกเหล็ก (Lockheed P-38 Lighting) กวาดสายตาหาข้อมูลข้าศึกเหมือนเช่นเคย
วันนั้นเขาไม่ได้กลับฐานที่ตั้งตามเวลาที่ควรจะเป็น มันคือวันสุดท้าย วันที่เขาและเครื่องบินสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปไหน บางทีเขาอาจจะหายไปกับ “สายลม ผืนทราย หรือไม่ก็ดวงดาว”
ตลอดช่วงชีวิตที่เขาเป็นนักบิน เขาจดบันทึก เขียนหนังสือไว้มากมาย ต่อไปนี้คือบางผลงานอันโด่งดังของเขา
1. Southern Mail หรือ Courrier sud (ไปรษณีย์ใต้) – เป็นนิยายที่บอกเล่าเรื่องราว ประสบการณ์ในการเป็นนักบินไปรษณีย์ เส้นทางบินไปรษณีย์ในยุคบุกเบิก และความท้าทายในการบินของนักบินในยุคนั้น
2. Night Flight (เที่ยวบินยามราตรี) – เล่าเรื่องเที่ยวบินกลางคืนที่เต็มไปด้วยอันตรายเหนือเทือกเขาแอนดีส (Andes) ในอเมริกาใต้ การตัดสินใจในสถานการณ์ที่ซับซ้อนที่นักบินต้องเผชิญ หนังสือเล่มนี้ได้รับรางวัล Prix Femina และสร้างชื่อให้กับเขามาก ในฐานะบุคคลสำคัญสำหรับงานเขียนเชิงวรรณกรรม
3. Wind, Sand and Stars (ชื่อหนังสือฉบับแปลไทยใช้ชื่อว่า 'แผ่นดินของเรา') – บันทึกความทรงจำจากแรงบันดาลใจของอุบัติเหตุเครื่องบินตกที่ทะเลทราย คละเคล้าไปกับการผจญภัยอื่นๆ งานเขียนนี้ได้รับรางวัล Grand Prix du Roman จากราชบัณฑิตยสภาฝรั่งเศส (French Academy) และได้รับรางวัล National Book Award ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เนื้อหาในหนังสือได้รับการยกย่องว่าแฝงปรัชญาและให้แง่มุมที่ลึกซึ้ง
4. Flight to Arras (ชื่อหนังสือฉบับแปลไทยใช้ชื่อว่า 'นักบินรบ') - เรื่องราวการบินลาดตระเวนในฝรั่งเศส พรรณนาถึงความไร้สาระของสงครามที่เกิดจากความขัดแย้งโง่ๆของมนุษย์ ดึงเอามาจากประสบการณ์ตรงของเขาในช่วงเวลาที่เลือกกลับไปรับใช้ประเทศในฐานะนักบินกองทัพ การอุทิศตน ความเสียสละ การต่อสู้ และการไม่ยอมแพ้ แม้ว่าฝรั่งเศสจะพ่ายแพ้สงครามในช่วงเวลานั้น)
5. The Little Prince (เจ้าชายน้อย) - เรื่องราวที่สะท้อนทุกแง่มุมของความเป็นมนุษย์ แรงบันดาลใจของเรื่องนี้มาจากเมื่อครั้งที่เขาประสบเหตุเครื่องบินตกที่ทะเลทรายสะฮารา และได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนมนุษย์ เรื่องราวแฝงปรัชญาของชีวิตมากมาย ที่สำคัญ เรื่องนี้ได้รับการตีพิมพ์ไปทั่วโลกมากกว่า 300 ภาษา เรื่องเจ้าชายน้อย เป็นเรื่องที่สะท้อนความเป็นตัวตนของมนุษย์หลากหลายประเภท
ความพิเศษของหนังสือเล่มนี้คือ มันดึงดูดให้ผู้คนทุกเพศทุกวัยสามารถอ่านได้ ไม่ว่าจะอ่านแบบไม่คิดตามหรือคิดตาม และว่ากันว่า เมื่อช่วงวัยของเราได้เปลี่ยนผ่านไป ในแต่ละครั้งที่หยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านซ้ำ มุมมองที่คิดตามเนื้อหาในหนังสือนั้นจะแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
เรื่องเจ้าชายน้อย เป็นเรื่องเล่าผ่านบทสนทนาระหว่างนักบินคนหนึ่งที่เครื่องบินตกกลางทะเลทราย และได้พบกับเจ้าชายน้อยที่เดินทางมาจากดาวเคราะห์อื่นนอกโลก
บทสนทนาถ่ายทอดออกมาอย่างกลมกล่อม แม้ตอนจบจะดูเหมือนเศร้า ที่เจ้าชายน้อยถูกงูกัด และเดินจากไป ทิ้งไว้ด้วยบางประโยคที่แฝงไว้ด้วยปรัชญาอันลุ่มลึก กับบางท่อนบางตอนในช่วงสุดท้ายของเล่มที่ว่า
“คุณเข้าใจไหม มันไกลมาก และผมไม่อาจนำร่างนี้ไปได้ มันหนักเกินกำลังของผม”
“มันก็เหมือนคราบเก่าๆที่เราลอกทิ้ง ไม่เห็นจะต้องเสียใจกับคราบเก่าๆเลย”
60 ปีภายหลังการสูญหายของเขา รัฐบาลฝรั่งเศสได้ประกาศยืนยันว่า ได้ค้นพบซากเครื่องบินลำที่ แซงเตก บินลาดตระเวน จึงสันนิษฐานได้ว่า เครื่องบินของเขาตก มีเรื่องเล่าในภายหลังว่า เครื่องของ แซงเตก ถูกยิงโดยนักบินขับไล่ชาวเยอรมันชื่อ ฮอร์สต์ ริปเปอร์ (Horst Rippert)
ฮอร์สต์ บอกว่า คืนนั้นเขายิงเครื่อง P-38 Lightning ตก บริเวณที่ แซงเตก บินลาดตระเวน โดยที่ ฮอร์สต์ เป็นหนึ่งในแฟนหนังสือของ แซงเตก ด้วย
ฮอร์สต์ สารภาพว่า ถ้าวันนั้นเขารู้ว่าเป็น แซงเตก “เขาจะไม่ยิง”
ชีวิตของ แซงเตก ก็คล้ายกับเจ้าชายน้อย พลัดถิ่น โดดเดี่ยวท่ามกลางความวุ่นวายของผู้คน ใช้ชีวิตบนท้องฟ้าซะส่วนใหญ่ ห้วงยามที่เขาหายไปจากโลกก็ดูคล้ายกับตอนจบในหนังสือเรื่องเจ้าชายน้อยยิ่งนัก
แต่ตอนจบนั้นไม่ใช่สาระสำคัญสำหรับเขา ไม่ว่าเขาจะหายสาบสูญ ไม่ว่าเขาจะถูกยิงตก ร่างจะถูกทรายกลบฝังหรือไม่ หากแต่เขาได้พิสูจน์ให้โลกได้เห็นผ่านเรื่องราวมากมายในหนังสือ มันทำให้เราได้เข้าใจในชีวิตว่า ตอนจบนั้นหาใช่สาระไม่
เพราะเขาไม่เคยใช้ตรรกะในการเดินทางเพียงแค่เส้นตรงจาก A ไปถึง B หากแต่จินตนาการต่างหากที่พาเขาไปได้ในทุกที่ที่เขาอยากจะไป
.
บางทีเขาอาจจะปะปนอยู่กับ “สายลม ผืนทราย หรือแสงดาว”
.
หรือที่ไหนสักแห่ง บนดาวดวงใดก็ได้..สักดวง
โฆษณา