22 ก.ค. เวลา 11:09 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เสียงที่สั่นสะเทือนเศรษฐกิจโลก: เมื่อประธานาธิบดีอาร์เจนตินาเปิดโปงความจริงที่หลายคนไม่กล้าพูด!

ณ เวที World Economic Forum 2024 ประธานาธิบดี Javier Milei แห่งอาร์เจนตินาได้กล่าวสุนทรพจน์อันทรงพลังที่สุดครั้งหนึ่งในงานใหญ่นี้ ซึ่งได้เปิดเผยมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของโลกตะวันตก
3
เขาเริ่มต้นด้วยการเตือนถึงภัยคุกคามที่โลกตะวันตกกำลังเผชิญหน้า – ไม่ใช่ภัยจากภายนอก แต่เป็นภัยที่เกิดจากภายในสังคมของเราเอง
“โลกตะวันตกกำลังตกอยู่ในอันตราย” Milei กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อันตรายนี้เกิดขึ้นเพราะผู้ที่ควรจะปกป้องคุณค่าของโลกตะวันตกกลับถูกครอบงำด้วยวิสัยทัศน์ที่นำไปสู่ลัทธิสังคมนิยมและความยากจนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
5
คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลอย่างลึกซึ้งของ Milei ต่อแนวโน้มที่เขามองว่ากำลังบ่อนทำลายรากฐานของความมั่งคั่งและเสรีภาพในโลกตะวันตก เขาชี้ให้เห็นว่าในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ผู้นำของโลกตะวันตกได้ค่อยๆ ละทิ้งหลักการของเสรีนิยม และหันเหไปสู่รูปแบบต่างๆ ของ “Collectivism (แนวความคิดคติรวมหมู่)” แทน
4
Milei อธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากแรงผลักดันของคนสองกลุ่ม: กลุ่มแรกคือผู้ที่มีเจตนาดีต้องการช่วยเหลือผู้อื่น ส่วนกลุ่มที่สองคือผู้ที่ปรารถนาจะเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นพิเศษ แม้เจตนาของทั้งสองกลุ่มจะแตกต่างกัน แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับคล้ายคลึงกัน นั่นคือการลดทอนเสรีภาพทางเศรษฐกิจและส่วนบุคคลลงไปเรื่อยๆ
4
“เราอยู่ที่นี่เพื่อบอกกับท่านว่า การทดลองใช้แนวความคิด Collectivism ไม่ใช่ทางออกสำหรับปัญหาที่ประชาชนทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่” Milei กล่าวด้วยความมั่นใจ “แต่มันกลับเป็นรากเหง้าของปัญหาเหล่านั้น”
4
เพื่อสนับสนุนแนวคิดนี้ Milei จึงได้พูดถึงประสบการณ์ของประเทศบ้านเกิดของเขาเป็นตัวอย่าง อาร์เจนตินาเคยเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเมื่อร้อยปีก่อน แต่การเปลี่ยนแปลงนโยบายทางเศรษฐกิจได้นำพาประเทศไปสู่วงจรแห่งความยากจนและความถดถอย
“เมื่อเรานำแบบจำลองเสรีนิยมมาใช้ในปี 1860 ภายในเวลาเพียง 35 ปี เราก็กลายเป็นมหาอำนาจระดับโลก” Milei กล่าว “แต่เมื่อเราหันไปสู่แนวความคิด Collectivism ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นว่าประชาชนของเราเริ่มยากจนลงอย่างเป็นระบบ และเราตกลงไปอยู่ในอันดับที่ 140 ของโลก”
6
ประสบการณ์ของอาร์เจนตินาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์จากการละทิ้งหลักการของเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ Milei ชี้ให้เห็นว่าประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าระบบทุนนิยมเสรีเป็นเครื่องมือเดียวที่สามารถยกระดับประชากรส่วนใหญ่ของโลกให้พ้นจากความยากจนได้
1
“หากเรามองย้อนไปในประวัติศาสตร์ของความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ” Milei อธิบาย “เราจะเห็นว่าระหว่างปี ค.ศ. 0 ถึงปี ค.ศ. 1800 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวของโลกแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย” แต่หลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมและการนำระบบทุนนิยมเสรีมาใช้ โลกก็ได้เห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด
6
Milei ได้ยกตัวเลขมาสนับสนุนแนวคิดของเขา: “ในปี ค.ศ. 1800 ประชากรโลกประมาณ 95% อยู่ในความยากจนขั้นรุนแรง และตัวเลขนี้ลดลงเหลือ 5% ในปี ค.ศ. 2020 ก่อนที่จะเกิดการระบาดใหญ่” นี่คือความสำเร็จที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และเป็นผลมาจากการใช้ระบบทุนนิยมเสรีนั่นเอง
4
แต่ทำไมระบบที่ประสบความสำเร็จเช่นนี้ถึงถูกโจมตีและถูกละทิ้งในหลายประเทศ? Milei ได้นำเสนอคำอธิบายที่น่าสนใจ เขาชี้ให้เห็นว่าปัญหาส่วนหนึ่งมาจากความเข้าใจผิดในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
1
“ปัญหาของนักเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิก (neoclassical economic theory) คือ แบบจำลองที่พวกเขาเชิดชูนั้นไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง” Milei วิจารณ์ “ดังนั้นพวกเขาจึงโทษความผิดพลาดของตนให้กับสิ่งที่เรียกว่า ‘ความล้มเหลวของตลาด (market failures)’ แทนที่จะทบทวนข้อสันนิษฐานของแบบจำลอง”
1
การเชื่อในแนวคิดเรื่อง “ความล้มเหลวของตลาด” นำไปสู่การแทรกแซงของรัฐที่มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่ง Milei มองว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เขาเชื่อว่าการแทรกแซงเหล่านี้ไม่ได้แก้ไขปัญหา แต่กลับสร้างปัญหาใหม่และบิดเบือนกลไกตลาดที่ควรจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
3
“ตลาดไม่ใช่เพียงแค่กราฟที่อธิบายเส้นโค้งของอุปสงค์และอุปทาน” Milei อธิบาย “ตลาดคือกลไกของความร่วมมือทางสังคม ที่คุณแลกเปลี่ยนสิทธิในการเป็นเจ้าของโดยสมัครใจ” ด้วยมุมมองนี้ Milei จึงเชื่อว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “ความล้มเหลวของตลาด” อย่างแท้จริง หากการแลกเปลี่ยนนั้นเกิดขึ้นโดยสมัครใจ
2
นอกจากความเข้าใจผิดในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แล้ว Milei ยังชี้ให้เห็นถึงอันตรายของแนวคิดแบบสังคมนิยมสมัยใหม่ที่แฝงตัวอยู่ในสังคม เขาวิพากษ์วิจารณ์ว่าแนวคิดเหล่านี้ได้ครอบงำสถาบันสำคัญๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสื่อ วงการศึกษา และองค์กรระหว่างประเทศ
1
“พวกนีโอมาร์กซิสต์ได้ครอบงำสามัญสำนึกของโลกตะวันตก” Milei กล่าวอย่างเด็ดขาด “และพวกเขาประสบความสำเร็จในการทำเช่นนี้โดยการยึดครองสื่อ วัฒนธรรม มหาวิทยาลัย และองค์กรระหว่างประเทศ”
8
แม้จะวาดภาพที่น่าวิตกกังวล แต่ Milei ก็ไม่ได้สิ้นหวัง เขาเชื่อว่ายังมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงทิศทางและนำพาโลกกลับสู่เส้นทางแห่งเสรีภาพและความรุ่งเรือง
1
“เรามาที่นี่วันนี้เพื่อเชิญชวนประเทศอื่นๆ ในโลกตะวันตกให้กลับสู่เส้นทางแห่งความรุ่งเรือง” Milei กล่าวด้วยความหวัง “เสรีภาพทางเศรษฐกิจ รัฐบาลที่จำกัด และการเคารพทรัพย์สินส่วนบุคคลอย่างไม่มีข้อจำกัดเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ”
Milei ปิดท้ายสุนทรพจน์ด้วยการส่งข้อความถึงนักธุรกิจและผู้ประกอบการทั่วโลก เขาเรียกร้องให้พวกเขากล้าที่จะยืนหยัดต่อสู้กับแนวคิดที่จะบั่นทอนเสรีภาพทางเศรษฐกิจ
1
“อย่าหวาดกลัวไม่ว่าจะเป็นชนชั้นนำทางการเมืองหรือปรสิตที่คอยแทรกซึมอยู่ภายในรัฐ” Milei กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อย่ายอมจำนนต่อชนชั้นทางการเมืองที่ต้องการเพียงแค่รักษาอำนาจและรักษาสิทธิพิเศษของพวกเขา”
3
ในมุมมองของ Milei นักธุรกิจและผู้ประกอบการไม่ใช่ตัวร้ายในสังคม แต่เป็นวีรบุรุษผู้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับโลก เขากล่าวย้ำว่า “พวกคุณคือผู้มีพระคุณต่อสังคม พวกคุณคือวีรบุรุษ พวกคุณคือผู้สร้างช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองที่น่าทึ่งที่สุดที่เราเคยเห็น”
3
Milei พยายามปลุกจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการ โดยเน้นย้ำว่าความทะเยอทะยานและความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่สิ่งที่ผิดศีลธรรม แต่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่นำมาซึ่งนวัตกรรมและการพัฒนา “ถ้าคุณทำเงินได้ นั่นเป็นเพราะคุณเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่าในราคาที่ดีกว่า ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวม” เขากล่าว
5
ในช่วงท้ายของสุนทรพจน์ Milei ได้ส่งสารที่ทรงพลังและท้าทาย เขาเรียกร้องให้ทุกคนต่อต้านการขยายอำนาจของรัฐที่มากเกินไป “อย่ายอมแพ้ต่อการรุกคืบของรัฐ” เขากล่าวอย่างแข็งกร้าว “รัฐไม่ใช่ทางออก รัฐคือตัวปัญหาเอง”
3
Milei ปิดท้ายด้วยการประกาศจุดยืนของอาร์เจนตินาในเวทีโลก เขากล่าวว่า “เชื่อมั่นเถอะว่านับจากวันนี้ อาร์เจนตินาจะเป็นพันธมิตรที่ไม่มีเงื่อนไขของคุณ” นี่เป็นการส่งสัญญาณว่าภายใต้การนำของเขา อาร์เจนตินาจะเป็นประเทศที่เปิดกว้างสำหรับการลงทุนและการค้าเสรี
5
สุนทรพจน์ของ Milei จบลงด้วยประโยคอันทรงพลัง “ขอให้เสรีภาพจงเจริญ” ท่ามกลางเสียงปรบมือกึกก้องจากผู้ฟัง
การกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนี้ของประธานาธิบดี Milei ไม่เพียงแต่เป็นการนำเสนอวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นการท้าทายกระแสความคิดหลักในโลกตะวันตกอีกด้วย เขาได้นำเสนอมุมมองที่แตกต่างและท้าทายต่อแนวคิดทางเศรษฐกิจและสังคมที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน
1
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแนวคิดของ Milei จะได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้นจากบางส่วนของสังคม แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง หลายคนอาจไม่เห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของเขาเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม และอาจมองว่าวิธีการแก้ปัญหาที่เขาเสนอนั้นดูมันจะง่ายเกินไปสำหรับโลกที่มีความซับซ้อนสูงในยุคปัจจุบัน
นักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์บางคนอาจโต้แย้งว่าการมองว่าตลาดเสรีเป็นทางออกเดียวสำหรับทุกปัญหาเป็นมุมมองที่แคบเกินไป พวกเขาอาจชี้ให้เห็นว่าประเทศที่ประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจหลายแห่งใช้นโยบายผสมผสานระหว่างกลไกตลาดและการแทรกแซงของรัฐในระดับที่เหมาะสม
3
นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ก็เป็นอีกหนึ่งข้อโต้แย้งที่ผู้วิจารณ์แนวคิดของ Milei อาจหยิบยกขึ้นมา พวกเขาอาจเสนอว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวไม่ได้รับประกันว่าทุกคนในสังคมจะได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน
2
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับ Milei สุนทรพจน์ของเขาก็ได้จุดประกายการถกเถียงที่สำคัญเกี่ยวกับทิศทางทางเศรษฐกิจและสังคมของโลกตะวันตก มันท้าทายให้เราต้องพิจารณาอย่างจริงจังว่าเราควรจัดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ ตลาด และประชาชนอย่างไรเพื่อสร้างสังคมที่เจริญรุ่งเรืองและเป็นธรรมสำหรับทุกคน
2
ในท้ายที่สุด สุนทรพจน์ของ Milei เป็นการเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิธีคิดและวิธีการจัดการเศรษฐกิจของโลกตะวันตก เขาเชื่อว่าการกลับไปสู่หลักการของเสรีนิยมทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริงคือหนทางเดียวที่จะนำพาโลกไปสู่ความรุ่งเรืองและเสรีภาพที่แท้จริง แม้ว่าวิสัยทัศน์ของเขาอาจจะดูเป็นเรื่องอุดมคติหรือท้าทายเกินไปสำหรับบางคน แต่มันก็เป็นเสียงเรียกร้องที่ทรงพลังให้เราทบทวนและตั้งคำถามกับสถานะปัจจุบันของสังคมและเศรษฐกิจโลก
1
ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร สุนทรพจน์ของ Milei จะถูกจดจำว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการถกเถียงเกี่ยวกับอนาคตของระบบเศรษฐกิจโลก และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวิธีที่เรามองและจัดการกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมในศตวรรษที่ 21
4
References :
อ้างอิง Collectivism แนวความคิดคติรวมหมู่ จาก https://www.psy.chula.ac.th/th/feature-articles/individualism-collectivism/
“แนวคิดคติรวมหมู่” หมายถึง แนวคิดที่บุคคลให้ความสำคัญกับเป้าหมายของกลุ่มมากกว่าเป้าหมายของตัวเอง บุคคลจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของสมาชิกในกลุ่ม และประพฤติตนสอดคล้องกับบรรทัดฐานที่กลุ่มกำหนดไว้
1
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
1
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
1
โฆษณา