22 ก.ค. เวลา 10:52 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป ปิดร่วงลงอีกในวันศุกร์ (19 ก.ค.)จากการเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงอีกในวันศุกร์ (19 ก.ค.) เนื่องจากความผิดพลาดทกับซอฟต์แวร์ของ Crowdstrike ซึ่งเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์นั้นทำให้ระบบปฏิบัติการ Windows ของ Microsoft ล่ม ส่งผลให้เกิดการหยุดชะงักทางเทคนิคที่กระทบต่อการดำเนินงานในหลายอุตสาหกรรม รวมถึงสายการบิน ธนาคาร และการดูแลสุขภาพ แม้ว่ามีการตรวจพบข้อบกพร่องและแก้ไขแล้ว แต่ปัญหาทางเทคนิคก็ยังคงส่งผลกระทบต่อบริการบางส่วน
‼️หุ้น Crowdstrike ร่วงลง 11.1% ขณะที่ซีอีโอของ CrowdStrike ยืนยันบนโซเชียลมีเดียว่าได้ดำเนินการแก้ไขแล้ว แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าปัญหาจะคงอยู่ได้นานเพียงใดขณะที่หุ้นของบริษัทคู่แข่งด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่าง Palo Alto Networks และ SentinelOne พุ่งขึ้น 2.2% และ 7.8%
หุ้นกลุ่มชิปร่วงลงจากแรงเทขาย นำโดยหุ้นอินวิเดีย ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของตลาดฟิลาเดลเฟีย ร่วงลง 3.1%
▶️หุ้นเน็ตฟลิกซ์ร่วงลง 1.5% หลังจากบริษัทเตือนว่า การเพิ่มจำนวนผู้สมัครสมาชิกในไตรมาส 3 จะต่ำกว่าปีก่อน
▶️สำนักข่าว Yahoo Finance รายงานว่า Netflix ผู้ให้บริการยักษ์ใหญ่ด้านวิดีโอสตรีมมิ่ง รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ปี 2024 พบมีรายได้โตเพิ่ม 16.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะระดับ 9.56 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยบริษัทมีกำไรต่อหุ้น อยู่ที่ 4.88 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งปรับตัวขึ้นจาก 3.29 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้นในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว
📌ดัชนี ดาวโจนส์ ปิดที่ 40,287.53 จุด ลดลง 377.49 จุด หรือ -0.93%
📌ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,505.00 จุด ลดลง 39.59 จุด หรือ -0.71%
📌ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,726.94 จุด ลดลง 144.28 จุด หรือ -0.81%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันศุกร์ (19 ก.ค.) โดยถูกกดดันจากการเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเนื่องจากนักลงทุนคาดว่าปัญหาขัดข้องทางไอทีทั่วโลกที่เชื่อมโยงกับปัญหาที่บริษัทด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ CrowdStrike และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์
▶️หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วง 2.1% เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง
▶️หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงเกือบ 1% ตามราคาน้ำมันดิบที่ลดลง
▶️หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ร่วง 1% ในวันศุกร์ และร่วงลงเกือบ 9% ในรอบสัปดาห์นี้
📌ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,534.52 จุด ลดลง 52.03 จุด หรือ -0.69%
📌ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 18,171.93 จุด ลดลง182.83 จุด หรือ -1.00%
📌ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,155.72 จุด ลดลง 49.17 จุด หรือ -0.60%
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ในวันศุกร์ (19 ก.ค.) ส่งมอบเดือน ส.ค. ร่วงลง 2.69 ดอลลาร์ หรือ 3.3% ปิดที่ 80.13 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนติดตามความเป็นไปได้ที่จะมีการหยุดยิงในกาซา หากมีการบรรลุข้อตกลงหยุดยิง กลุ่มกบฏฮูตีที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านอาจลดการโจมตีเรือพาณิชย์ในทะเลแดง เนื่องจากกลุ่มนี้ได้ประกาศการโจมตีเพื่อสนับสนุนกลุ่มฮามาส ขณะที่สกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นนั้นฉุดราคาน้ำมันลงด้วย
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ในวันศุกร์ (19 ก.ค.) ส่งมอบเดือน ส.ค. ร่วงลง 57.30 ดอลลาร์ หรือ 2.33% ปิดที่ 2,399.10 ดอลลาร์/ออนซ์ ถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์และการเทขายทำกำไรหลังจากราคาทองคำแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงต้นสัปดาห์นี้
‼️จีนนำเข้าทองคำลดลงเกือบ 60% ในเดือนมิ.ย. สู่ระดับ 58.9 ตัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2565 ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าจีนซึ่งเป็นประเทศที่ใช้ทองคำมากที่สุดในโลก ชะลอการซื้อทองคำหลังจากราคาพุ่งขึ้นอย่างมาก ในขณะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
▶️ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2567 ของจีนขยายตัวเพียง 4.7% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 5.1% และชะลอตัวลงจากไตรมาส 1/2567 ที่มีการขยายตัว 5.3%
ดัชนีฮั่งเส็งปิดที่ระดับ 17,635.88 จุด เพิ่มขึ้น 218.20 จุด หรือ +1.25% ในวันนี้ ขานรับจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้น และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ
▶️ธนาคารกลางจีนสร้างความประหลาดใจให้กับตลาดด้วยการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปีลงสู่ระดับ 3.35% จากระดับ 3.45% และลดอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปีลงสู่ระดับ 3.85% จากระดับ 3.95% ในวันนี้ (22 ก.ค.) สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าธนาคารกลางจีนจะคงอัตราดอกเบี้ย LPR ทั้งสองประเภทไว้ที่ระดับเดิม
▶️ธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ย reverse repos ประเภท 7 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้น (short-term policy rate) ลงสู่ระดับ 1.7% จากระดับ 1.8% โดยมีเป้าหมายที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจจีนที่กำลังชะลอตัวลงในขณะนี้ หลังจาก GDP ชะลอตัวใน Q2
ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดที่ 2,964.22 จุด ลดลง 18.09 จุด หรือ -0.61% จากแรงขายหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงาน เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่ได้ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูภาคธนาคารและภาคพลังงาน แต่มุ่งเน้นให้ความสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเป็นหลัก
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดที่ระดับ 39,599.00 จุด ลดลง 464.79 จุด หรือ -1.16% ในวันนี้ เนื่องจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดิ่งลงตามทิศทางหุ้นกลุ่มเดียวกันในตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นโตเกียวยังถูกกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในสหรัฐ หลังจากปธน.ไบเดนถอนตัวจากการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2567 และประกาศสนับสนุนนางคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐ ให้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือน พ.ย.ปีนี้ แข่งกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน
▶️นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกันกล่าวว่า เขาสามารถโค่นเอาชนะนางคามาลา แฮร์ริส ในการเลือกตั้งเดือน พ.ย.นี้ได้ง่ายกว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน
➡️Yuanta News Update – ตลาดหุ้นเอเชียอ่อนตัวลงเฉลี่ย -1.0% หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ถอนตัวจากการลงชิงตำแหน่งในสมัยหน้า ทำให้เกิดความกังวลว่าประเด็น Trade War หากคุณทัรมป์ได้เป็นประธานาธิบดีจะรุนแรงขึ้น
ประกอบกับ การปรับลดดอกเบี้ย Loan Prime Rate อายุ 1 ปี และ 5 ปี ของธนาคารกลางจีน -10 bps. เหลือ 3.35% และ 3.85% ตามลำดับ ที่เหนือความคาดหมายของตลาด ทำให้ตลาดประเมินปัญหาภาคอสังหาฯของจีนยังไม่ผ่านจุดต่ำสุด
▶️สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -19 ก.ค. 67 15:43 น.
สำนักข่าว CNBC รายงานว่า บรรดาผู้บริจาครายใหญ่แก่พรรคเดโมแครต จำนวน 75 ราย รวมตัวพูดคุยกันผ่านซูม (Zoom) เพื่อหารือเกี่ยวกับเส้นทางข้างหน้าของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เกี่ยวกับการลงสมัครชิงชัยตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ หลังพ่ายแพ้การดีเบตให้กับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมเตรียมหนุนคามาลา แฮร์ริส (Kamala Harris) ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ลงสมัครชิงชัยตำแหน่งผู้นำประเทศคนใหม่ในครั้งนี้แทน
▶️Eastspring Thailand : ไบเดน ประกาศถอนตัวจากการชิงตำแหน่งประธานาธิบดี พร้อมประกาศรับรอง กมลา แฮร์ริส (รอง ปธน.) เป็นตัวแทน โดยการที่ ปธน. ไบเดน รับรอง กมลา แฮร์ริส จะทำให้ แฮร์ริส สามารถเข้าถึงเงินทุนหาเสียงของไบเดนได้ อย่างไรก็ตาม แฮร์ริส จะยังคงต้องชนะการเลือกตัวแทนของพรรคเดโมแครตในวันที่ 19 สิงหาคมนี้ คนอื่นสามารถแข่งกับ แฮร์ริส ได้เช่นกัน แต่พอไบเดน ประกาศรับรองแฮร์ริส ทำให้ delegate(คณะผู้แทนเลือกตั้งจากมลรัฐ)ของไบเดนจะสนับสนุนแฮร์ริสด้วยเช่นกัน
จากการที่ไบเดนครอง 99% ของ delegate ทำให้คนที่จะมาท้าชิงเจองานช้างอยู่ในการหาคนสนับสนุน รวมถึงต้องหาเงินทุนใหม่หมดอีก และเหลือเวลาแค่ 3 เดือนก่อนจะถึงวันเลือกตั้ง โดยสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากนโยบายของทรัมป์มีโอกาสปรับตัวลงได้หลังจากนี้ เพราะก่อนหน้านี้ตลาด price in ไปแล้วว่า ทรัมป์น่าจะชนะ ทำให้เราต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ว่า กมลา แฮร์ริส จะสามารถเรียกโมเมนตัมกลับมาได้ไหม
ตลาดน่าจะเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา จนกว่าจะเห็นเทรนด์ชัดเจน ถ้าผลโพลของทรัมป์ทิ้งห่างออกไปอีก สินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากทรัมป์จะกลับมาอีกรอบ แต่ถ้าแฮร์ริสเริ่มตีตื้นขึ้นมาได้ ก็จะเกิด rotation ออกจาก trump trade แล้วมาอีกด้านนึง ดังนั้นเรามีมุมมองว่าตลาดผันผวนจากประเด็นการเมืองเป็นหลัก และเรื่องผลประกอบการอาจจะกลายเป็นเรื่องรองไปแล้ว แต่ในระยะยาวหุ้นจะปรับตัวตามผลประกอบการ
ดังนั้นถ้าตลาดมีการปรับตัวลงและผลประกอบการยังเติบโตได้ดีอยู่ เรามองว่าเป็นโอกาส Buy On Dip หุ้นสหรัฐฯ โดยกองทุนที่แนะนำคือ ES-USTECH และ ES-USBLUECHIP
บล.กสิกรไทย มองทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ (22-26 ก.ค.) แนวรับที่ 1,310 และ 1,300 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,325 และ 1,335 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขส่งออกเดือน มิ.ย. ของไทย ประเด็นการเมืองในประเทศ ผลประกอบการไตรมาส 2/2567 ของบจ.ไทย และทิศทางเงินทุนต่างชาติ (Flow)
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสอง ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล ดัชนีราคา PCE/Core PCE เดือนมิ.ย. ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ (เบื้องต้น) เดือนก.ค. ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2567 รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ การกำหนดอัตราดอกเบี้ย LPR เดือนก.ค.ของจีน และดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ (เบื้องต้น) เดือนก.ค. ของญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ
➡️19 ก.ค. 24 SET index Closed 1,317.14/-7.62 (-0.58%) Volume 37,785.23 ล้านบาท
ต่างชาติ +278.33 ล้านบาท
สถาบัน -329.24 ล้านบาท
บัญชีหลักทรัพย์ -172.97 ล้านบาท
รายย่อย +223.89 ล้านบาท
➡️ปริมาณซื้อขายสุทธิแยกตามประเภทนักลงทุน
สถาบัน +5,056 สุทธิ สัญญา
ต่างชาติ -21,071 สุทธิ สัญญา
รายย่อย +16,015 สุทธิ สัญญา
โฆษณา