22 ก.ค. เวลา 16:03 • ความคิดเห็น
เรื่องของไตรลักษณ์ นั่นมันยากที่จิตจะรู้จักจริง ส่วนมากมันรู้อยู่ในลักษณะ สัญญาจดจำ มันรู้อนู่แค่สายตา รู้ตามที่อารมณ์เค้าอุปโลกน์ มันก็เลย ..ที่อาศัยอยู่ภายในกาย ..ที่ต้องอาศัยสายตา อาศัยวิญญาณทั้งหก ส่งต่อไปให้จิต ..คราวนี้จิตที่อยู่ภายในกาย ..คือตัวเราที่เป็นนามธรรม ไปเกิดในสังขารสัตว์ ก็ต้องอยู่กับสังขารนั้น จองจำอยู่ในสังขารนั้น หากว่าวิญญาณทั้งหก เกิดความเสียหายวิปริต ..จิตที่อาศัยในกายก็ทุกข์ลำบาก ..เช่น ตาบอดหูหนวก .ก็ใช้ชีวิตลำบาก ..
นั้นเป็นลักษณะของจิต ..ที่ไม่รับรู้อะไร อยู่กับกาย ..ที่เค้าว่า มีสภาพ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ..แล้วก็กินนอน อยู่กับกายแค่นั้น เสาะแสวงหาสิ่งต่างมาบำเรอกาย แต่กายมันก็แก่เอาๆ เดินเข้า 711 พนักงานก็ทัก ..เรียกตามวัย จากอา เป็นลุง จากลุงเป็นตา (บางที่ก็นึกเคือง) ใครมาติกายนี้ไม่สวย อ้วนไปผอมไป ก็โกรธ..จืตมันยึดกายจึงเป็นเช่นนั้น อะไรละที่ทำให้จิตมันยึด ..ก็อารมณ?ที่ปรุงแต่งกายนั้นแหละ แต่เราก็ไม่สามารถรับรู้จักอารมณ์ได้ ไม่สามารถเห็นในสิ่งที่เป็นนามธรรมได้
แล้วมีระยะหนึ่ง เพื่อนชวนไปอยู่ถ้ำ .ขอเค้าอยู่ พระท่านไม่ยอมให้พัก ก็เจอวัดหนึ่งมีถ้ำ พระท่านว่า พักที่นี่แหละ เค้ามีลานปฏิบัติธรรม เราไปเจอพระทีท่านให้พักที่กุฏิ ท่านบอกว่า มาๆมาเรียนกัน แล้วจะสนุก เรียน..ธรรมโลกุตระ .. เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสนุกยังไง
เวลาปฏิบัติธรรมให้นั่งพับเพียบ .โอ้ย..เราไม่เคยชืน ปวดจนใจแทบขาด เค้าว่า ปฏิบัติธรรมครึ่งชั่วโมง มดคันไฟ ก็ไปกัดในสะดือ กัดที่ไหนไม่กัด แมลงก็กวนชวนไช ปาก จมูก ..เราก็ทำเฉยๆ แค่นั้นแหละ พวกบินเข้าไปกระพือปีกในหู ..ต้องยกมือมันปัด แต่ก็ไม่มีแมลง. เอ..มันชักยังไงกัน เราบ่นเรื่องนั่งพับเพียบ ..กับพระหลวงตา ว่าทำไต้องนั่งพับเพียบ ..ท่านพูดดุ ๆว่า ที่นี่ต้องนั่งพับเพียบ อยากรู้ก็ลองดู ..เราก็เลยนั่งพับเพียบ .เพราะเรารู้สึกว่า ท่านเตือนเหมือนเด็กที่ไม่รู้เรื่องราวอะไร ..
เรื่องที่เราไปอยู่วัด เราเจอะเจอเรื่องที่แปลก เพราะเราก็ขอ ..ขอให้เห็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา ให้เห็นด้วยตาเปล่าๆ ให้ชัดเจน .แล้วเราก็ได้เห็น เรื่องคนมาโบกพัด ขณะที่นั่งสมาธิ มีคนมาเปิดมุ้ง สวมชุดขาว เดินออกไป เรื่องของฝนฟ้าคนอง สายฟ้าลงตลอด เราก็ได้รับรู้เรื่องราว ที่ว่าพระสิทธัตถะ ท่านไปนั่งไปอยู่ป่า .บรรยากาศมันเป็นอย่างไร มันนึกไปเอง
นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง ที่เราค่่อยเริ่มรู้จัก พอไปเจอพระอีกองค์หนึ่ง ท่านบอกว่า เราเรียนมามาก ..มาที่ที่ เรียนสามสิ่งนี้พอ ..กาย อารมณ์ จิต..พอท่านพูดคำว่า อารมณ์ เท่านี้ เราก็รู้สึกว่าใช่เลย ..ในสิ่งทร่เรากำลังค้นหา ..มันรู้สึกตัวเบาเหมือนลอยเลย
กลับมาที่เรื่องราว คำว่า อนินิจัง ทุกข์ขัง อนัตตา จิตเราอาศัยอยู่ในเรือนกาย ที่มีสภาพแบบนั่นมีความไม่เที่ยง เกิดขึ้นเปลี่ยนแปลวงตลอด แต่เราก็รับรู้ไม่ได้ ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงในกายที่จิตอาศัยอยู่ ..จิตมันหลงใหลเพลินกับอารมณ์ ปรุงแต่วิ่งวิญญาณทั้งหก เราก็ยึดสิ่งนั้นเป็นของตน
..สิ่งที่ปรุงแต่งนั้น เราก็มองไม่เห็น รับรู้ไม่ได้ เหมือนกายมันเจ็บปวด ..เราก็ยึดจิตมันยึดตัวเจ็บปวดอยู่ มันถึงได้ปวด ..พระที่เราพักที่กุฏิ ท่านมีปัญหา ที่หัวเข่า ..บวมเป็นหนอง ต้องผ่าตัด ..แต่ท่านก็กลับ ไปตักน้ำ..มาให้เราอาบช่วงที่เราปฏิบัติธรรมที่กุฏิท่่าน พอมีคนบอกว่า อย่าให้ท่านไปตักน้ำ ..เราก็รู้สึกไม่ดี
..ตอนหลัง เราก็ได้เรียนรู้ ในสิ่งที่ท่านทำให้ดู ในหลายๆเรื่อง นั่นก็ทำให้เรา ค่อยๆเรียนรู้จักอารมณ์กรรมตัวกระทำ ท่านบอกว่า เราลดละทีเดียวไม่ได้ ให้ทำไปทีละตัว เช่น ไม่ติเตียนใคร พอใจไม่พอใจ ..ไม่ให้เกิดที่ตัวเรา มันมีหลายเรื่องราว เรื่องทำบุญ ทำไม่ไม่เป็นบุญ ทำไมได้กรรม
กายนั่นเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง ตั้งอยู่ได้ไม่นาน กายนี้ ..มีกรรม เป็นทุกข์ขังให้จิตยึดถือ เมื่อกายยังตั้งอยู่ ..จะแก้ไขสภาพทุกข์ ผ่อนคลายทุกข์อย่างไร ..ปกติคนเราอยากจะรู้จัก ..สิ่งที่เป็นทุกข์ชัง ที่ไหลออกมาจากธาตุทั้งสี่ เป็นอารมณ์กรรม มีการสะสมบันทึกไปตลอดชีวิต ตรงนี้แหละเมื่อมีกาย ก็ปฏิบัติธรรม เรียนรู้ ให้เข้าไปถึงธาตุทั้งสี่ แล้วก็ลอกสีต่างๆ ที่เป็นกรรมนั้นออกไป
1
..มันเป็นตัวทุกข์ติดอยู่ในธาตุทั้งสี่ของจิต ทีติดตามไปเป็นบัญชีกรรม ที่เค้าว่า อารมณ์กายมนุษย์สั้นเพียงแปดสิบ แต่ไปทุกข์ยาวนาน หากทำดีสร้างบุญกุศลก็ไปสุขยาวนาน นั้นก็ทำให้เรารู้จักว่า การสร้างบุญกุศลบารมี ลดละกรรม ทำให้จิตเบาบางจากกรรม ไปสู่สถานที่สุขยาวนาน เราก็เลือกสร้าง ให้จิตสูที่สุขยาวนาน ต้องสร้างบุญกุศลขึ้นมา ก่อนที่กายนี้จะสลายเป็นอนัตตา
โฆษณา