23 ก.ค. เวลา 02:34 • ความคิดเห็น

ทำไมคนที่ชราจนเลอะเลือนถึงไม่ยอมลงจากตำแหน่ง

ประธานาธิบดีสหรัฐ โจ ไบเด้น ในวัยแปดสิบปี เพิ่งประกาศวางมือ ไม่ลงรับสมัครเลือกตั้งสมัยที่สอง หลังจากที่ พยายามดื้อจะลงต่อให้ได้แม้สังขารจะร่วงโรยจนออกอาการป้ำๆ เป๋อๆ จนทุกคนสังเกตได้โดยเฉพาะตอนที่ดีเบตกับโดนัลด์ ทรัมป์ตอนล่าสุด คนในพรรคเดโมแครตรู้ดีว่าไม่มีทางที่ไบเด้นจะได้รับเลือกแน่ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่มีทางกล้าให้คนแก่ที่หมดสภาพขนาดนี้เป็นประธานาธิบดีที่ตัดสินความเป็นความตายของคนทั้งโลกได้
5
ไบเด้นเลยต้องถูกขอร้องแกมบังคับให้สละสิทธิ์การเป็นผู้สมัครชิงประธานาธิบดีในที่สุด ก็ยังดีที่มีคนรอบข้างหาทางให้ลงได้แบบทุลักทุเล แต่ก็น่าเสียดายที่จบไม่สวย ความทรงจำของผู้คนต่อไบเด้นก็เลยกลายเป็นคนแก่ที่หลงๆ ลืมๆ ไม่ใช่ประธานาธิบดีสหรัฐที่วางมือในจังหวะที่ควรจะวาง ซึ่งถ้าไบเด้นประมาณตัวเองได้ถูกต้อง หยุดแค่สมัยแรก เขาก็จะกลายเป็นประธานาธิบดีที่มีคนจดจำได้ดีกว่าแน่
3
ไม่เฉพาะไบเด้น แต่คนแก่มากๆแปดเก้าสิบปีที่พยายามจะยื้อยุดตำแหน่งที่มีไว้ทั้งๆที่ตัวเองตกยุคและมีอาการทุกอย่างที่บอกถึงความชราภาพ หลงลืมแล้ว ความคิดก็โบราณ ดูไม่เข้าใจบริบทยุคใหม่ จึงพยายามจะอยู่และยื้ออำนาจ ยื้อตำแหน่งที่มีไว้ ไม่ปล่อยให้คนรุ่นถัดไป (ซึ่งหลายครั้งก็ไม่ใช่เด็กยุคใหม่ แต่เป็นคนรุ่นห้าหกสิบ) ดูแลต่อ หลายคนยื้อจนต้องถูกไล่ลงจากเวที เกียรติยศชื่อเสียงที่สั่งสมถูกเหลือแต่ภาพจำว่าเป็นคนแก่หัวดื้อเกรี้ยวกราดคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีโอกาสเขียนตอนจบสวยๆให้ตัวเองแต่อย่างใด
6
สาเหตุหลักๆก็น่าจะมาจากความกลัวที่จะสูญเสียอะไรหลายๆอย่าง ตั้งแต่ความเป็นตัวตนของตัวเองในฐานะประธานหรือมืออาชีพที่ถูกยกย่องมาอย่างยาวนาน การกลัวที่จะเป็นคนไม่สำคัญ ไม่มีค่า เคยชี้นิ้วสั่งได้ตามใจ ทุกคนกลัวหมด ถ้าออกจากตำแหน่งก็จะเสียอำนาจนั้นไป หรือความเคยชินจนเป็นนิสัยที่ทำแบบเดิมมาเป็นสี่ห้าสิบปี เดินเข้ามาที่ทำงานก็เป็นฮ่องเต้ ทุกคนหลีกทางให้ ซึ่งถ้าเสียตรงนี้ไปก็อาจจะนำมาซึ่งภาวะซึมเศร้าที่ไร้ความสำคัญ
5
และท้ายที่สุดคือความหลงในตำนานของตัวเองที่สร้างมาอย่างยาวนานและอยากให้มันคงอยู่ตลอดไป กลัวว่าคนใหม่จะไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ตัวเองทำมาทั้งที่ไม่มีใครจำอดีตอะไรได้อีกมานานแล้ว
2
คนชราจนหมดสภาพหลายคนก็ไม่ได้คิดอะไรร้ายๆ น่าจะคิดในมุมเป็นห่วงองค์กรของตัวเองด้วยซ้ำ เพียงแต่ความเป็นห่วงนั้นคิดในมุมว่าตัวเองเท่านั้นที่สำคัญ ถ้าปราศจากตัวเองไป องค์กรก็จะล่มสลาย เหมือนกับนิทานไก่ขันตะวันขึ้นที่พ่อไก่ใกล้ตายเรียกลูกมาสั่งเสียเพราะคิดว่าตัวเองเท่านั้นที่จะขันแล้วตะวันจึงจะขึ้น บอกทุกคนว่าพรุ่งนี้น่าจะตายกันหมดเพราะพ่อไก่ขันไม่ไหวแล้ว คนแก่ที่เหมือนพ่อไก่จึงจะพยายามขันจนวันสุดท้าย บางคนก็ถูกคนรอบข้างที่ได้ประโยชน์จากตัวเองยุยงให้อยู่ต่อก็มีมากเช่นกัน
7
พอเวลาเราเห็นสภาพคุณปู่อย่างไบเด้น หรือผู้นำองค์กรที่หลงๆลืมๆ ตกยุคตกสมัยไปนานแล้วจะอดคิดไม่ได้ว่า ทำไมเขาถึงไม่รู้ตัวกันว่าตัวเองเป็นปัญหาขององค์กรกันบ้าง กรณีก็คงมีหลายสาเหตุเช่นกัน ความเสื่อมถอยเรื่องสมองและร่างกายหลายครั้ง ผู้ป่วยก็ไม่คิดว่าตัวเองป่วย เพราะความเสื่อมนั้นค่อยๆ เกิดขึ้นทีละนิดจนเจ้าตัวไม่ได้สังเกต
3
มีคนเอาคลิปไบเด้นมาเปิดเทียบสี่ปีก่อนกับสี่ปีนี้ จะเห็นชัดมากถึงความเสื่อมของสมองและร่างกาย แต่เจ้าตัวไม่น่าจะรู้สึกแบบนั้นแต่อย่างใด และยิ่งคนที่มีอีโก้สูงๆ ทำอะไรสำเร็จมากในอดีตก็ยิ่งมีการปฏิเสธความเสื่อมของตัวเอง (denial) ยังคิดว่าตัวเองไหว
คนแก่มากๆที่มีอารมณ์รุนแรง อาละวาดไปทั่วก็ยิ่งไม่มีใครกล้าให้ feedback ตรงๆ การขาดกัลยาณมิตรที่คอยตักเตือนก็ยิ่งทำให้ประเมินตัวเองผิดพลาด ผสมกับความสำเร็จในอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อน
4
หลายคนก็คิดว่าเคยทำสำเร็จแล้วก็จะสำเร็จต่อไป และถ้าต้องกลับไปบ้าน ลักษณะนิสัยเผด็จการ อารมณ์ฉุนเฉียวก็ยิ่งทำให้ไม่มีครอบครัวอยากอยู่ใกล้ การยื้อยุดอยู่ในที่เดิม คงอำนาจเหมือนเดิมจึงเป็นคำตอบที่เจ้าตัวแทบจะไม่เคยคิดว่าจะไปไหน ไม่รวมถึงความรู้สึกเสียหน้าจากการที่ไม่มีตำแหน่งใหญ่ตัว ไม่มีอำนาจเหมือนเดิม ยิ่งทำให้ไม่รู้ตัวหนักเข้าไปอีก
3
คนแก่ชรามากๆ ในอำนาจบางคนที่ไม่เข้าใจเทคโนโลยี แทนที่จะยอมรับ หลายครั้งก็พยายามจะย้อนองค์กรที่ตัวเองอยู่กลับไปวันคืนเก่าๆ ทำงานแบบเก่าด้วยซ้ำ เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงสปิริตของท่านอดีตนายกอานันท์ ปันยารชุน ที่เคยเล่าในสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่าท่านของลาออกจากประธานธนาคารที่ท่านเป็นอยู่มาร่วมสามสิบปีเพราะท่านฟังเรื่องดิจิตอล เรื่อง mobile banking ไม่รู้เรื่องแล้ว และคิดว่าอยู่ไปก็ไม่สามารถทำประโยชน์อะไรได้อีก แต่คนที่จะคิดแบบนี้ได้ก็ไม่ได้มีกันทุกคน
8
แล้วเราจะแก่ไปโดยที่ไม่กลายเป็นคนแก่ที่น่าอับอาย เกรี้ยวกราด ทำอะไรเลอะเทอะจนผู้คนทนไม่ไหวจนต้องถูกอุ้มลงจากเวที และจะไม่ตกเป็นทาสของอำนาจได้อย่างไร
2
การประเมินตนเองอยู่ตลอดเวลานั้นสำคัญมาก ประเมินทั้งร่างกาย จิตใจและความเข้าใจในธุรกิจยุคใหม่ว่าเรายังไหวหรือคนอื่นน่าจะทำได้ดีกว่าเรา ประเมินโดยไม่เอาความคิดและอีโก้ของตัวเองเป็นที่ตั้งนั้นสำคัญมากๆ
2
นอกจากนั้น การทำตัวเบา ไม่ใช้อำนาจเข้าตัว เอาประโยชน์ เอาความสะดวกสบายจากอำนาจมาปรนเปรอตัวเองก็จะทำให้เวลาจะลงก็จะไม่ยึดติดได้มากขึ้น ไม่ต้องกลัวใครมาขุดหรือมาพบเจอภายหลัง และประการสุดท้ายก็คือการที่เราถูกห้อมล้อมด้วยกัลยาณมิตรที่ดี ที่คอยตักเตือนและให้ความเห็นที่สุจริตและหวังดีกับเราจริงๆก็จะช่วยได้มาก และในระหว่างทางก็ควรจะหัดมีเมตตา ใช้พระคุณให้มาก ใช้พระเดชให้น้อย เผื่อว่าตอนที่ต้องยุติก็จะยังมีคนเคารพ มีคนไปมาหาสู่บ้าง ไม่ใช่มีแต่เสียงถอนหายใจโล่งอกระงมไปหมด
4
ความน่าเศร้าที่สุดในชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จมากๆมาในอดีตแล้วพยายามยื้อเวลาจนเกินแกงก็คือการที่ไม่ได้เขียนบทจบของตัวเอง จบในจังหวะที่ควรจะจบและต้องจบแบบองค์กรตัวเองก็ขับไล่ พอออกก็มีแต่คนแอบดีใจ กลับไปครอบครัวก็ไม่ได้อยากให้กลับแล้วอยู่บ้านทั้งวันเพราะทนเราไม่ได้ ภาพจำสุดท้ายก็ลบสิ่งดีๆที่เคยทำมา ความเก่งที่เคยมีและควรจะคนจำถึงแค่นั้นจนหมด ไม่มีใครไปมาหาสู่อีกต่อไป
4
นั่นคือโศกนาฏกรรมของชีวิตประการหนึ่ง..
1
มีพี่คนหนึ่งได้เห็นและอยู่ในกระบวนการที่เห็นคนแก่มากๆ เลอะๆ เกรี้ยวกราด พยายามจะยื้อยุดอำนาจไว้โดยที่ไม่มีใครต้องการ พี่เขาถึงกับเรียกน้องๆ ที่สนิทมาคุย บอกว่าถ้าพี่แก่ไปแล้วทำตัวแบบนี้ พี่ขอให้น้องๆ ช่วยกล้าเตือนพี่นะ พี่ไม่อยากจบตัวเองในสภาพแบบนี้เลย…..
2
ผมเองก็อยากจะพยายามบอกกัลยาณมิตรทุกคนไว้แบบนี้ หลังจากเห็นเคสเดียวกับพี่เขาเช่นกัน
True wisdom is knowing when to retire with grace and pass the baton to the next generation
Anonymous
2
โฆษณา