23 ก.ค. เวลา 11:09 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

จากโซเชียลมีเดียสู่สมองกล โลกในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไรจากปาก Mark Zuckerberg

ในโลกที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก จากการค้นหาข้อมูลบน Google ไปจนถึงการเชื่อมต่อผู้คนผ่าน Facebook และการเรียกรถผ่าน Uber
3
ทุกๆ สองถึงสามปี เราจะได้พบเจอกับนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงกรอบความคิดเดิมๆ ของเรา แล้วอะไรคือสิ่งที่จะมาเปลี่ยนโลกในอนาคตอันใกล้นี้?
1
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Meta ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของเขาต่ออนาคตของเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอุปกรณ์สวมใส่ ซึ่งบทสัมภาษณ์นี้เผยให้เห็นถึงแนวคิดที่น่าสนใจหลายประการ
2
AI: จากหนึ่งสู่ความหลากหลาย
ซักเคอร์เบิร์กมองว่า อนาคตของ AI จะไม่ใช่ระบบเดียวที่ครอบคลุมทุกอย่าง แต่จะเป็นระบบที่หลากหลายและเฉพาะทางมากขึ้น เขากล่าวว่า “ผมไม่เชื่อว่าควรมี AI แค่ตัวเดียวเท่านั้น เราคิดว่าผู้คนต้องการที่จะโต้ตอบกับคนและธุรกิจที่หลากหลาย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมี AI หลายๆ ตัวที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความสนใจที่แตกต่างกันของผู้คน”
2
แนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของซักเคอร์เบิร์กที่ว่า ความหลากหลายคือกุญแจสำคัญในการสร้างประสบการณ์ที่มีคุณค่าสำหรับผู้ใช้ เขาเปรียบเทียบกับโลกของแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ที่ไม่มีแอปเดียวที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ แต่เป็นระบบนิเวศที่หลากหลายที่ทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ครบถ้วนและน่าสนใจ
2
Meta กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มที่เรียกว่า AI Studio ซึ่งจะช่วยให้ครีเอเตอร์และธุรกิจสามารถสร้าง AI ของตัวเองได้ ซักเคอร์เบิร์กเชื่อว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการ AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการสื่อสารระหว่างแบรนด์หรือครีเอเตอร์กับกลุ่มเป้าหมายของพวกเขา
2
“ส่วนสำคัญของแนวทางของเราคือการเปิดโอกาสให้ครีเอเตอร์ทุกคน และในที่สุดก็จะรวมถึงธุรกิจขนาดเล็กบนแพลตฟอร์มของเราด้วย สามารถสร้าง AI ของตัวเองขึ้นมาเพื่อช่วยในการปฏิสัมพันธ์กับชุมชนและลูกค้าของพวกเขา” ซักเคอร์เบิร์กกล่าว
2
นอกจากนี้ Meta ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนา AI แบบโอเพนซอร์ส โดยโมเดล Llama ของบริษัทเป็นตัวอย่างที่ดีของแนวคิดนี้ ซักเคอร์เบิร์กเชื่อว่าการแบ่งปันเทคโนโลยีจะช่วยกระตุ้นนวัตกรรมและสร้างระบบนิเวศที่หลากหลายมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ซักเคอร์เบิร์กย้ำว่าความโปร่งใสและความรับผิดชอบเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนา AI “เราไม่ได้พยายามสร้าง AI เหล่านี้และทำให้ผู้คนคิดว่าพวกเขากำลังโต้ตอบกับตัวครีเอเตอร์เอง เราต้องการให้มันมีความใกล้เคียงกับครีเอเตอร์มากที่สุดเท่าที่ครีเอเตอร์ต้องการ แต่มันจะถูกระบุอย่างชัดเจนว่าเป็น AI เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน” เขากล่าว
4
อนาคตของอุปกรณ์สวมใส่ (Wearable Device) แว่นตาอัจฉริยะและ wristband อ่านคลื่นไฟฟ้าจากระบบประสาท
1
นอกเหนือจาก AI แล้ว ซักเคอร์เบิร์กยังมองว่าอุปกรณ์สวมใส่จะเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแว่นตาอัจฉริยะและ wristband อ่านคลื่นไฟฟ้าจากระบบประสาท
5
Meta ได้เปิดตัวแว่นตา Ray-Ban Meta ซึ่งเป็นความร่วมมือกับแบรนด์แว่นตาชื่อดัง Ray-Ban แว่นตารุ่นนี้มาพร้อมกับกล้อง ไมโครโฟน และลำโพงในตัว ทำให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพ วิดีโอ และมีปฏิสัมพันธ์กับ AI ได้โดยไม่ต้องใช้มือ
1
ซักเคอร์เบิร์กมองว่าแว่นตาอัจฉริยะมีศักยภาพที่จะเข้ามาแทนที่สมาร์ทโฟนในอนาคต แม้ว่าจะไม่ได้ทดแทนทั้งหมด แต่อาจทำให้เราใช้สมาร์ทโฟนน้อยลง เช่นเดียวกับที่สมาร์ทโฟนทำให้เราใช้คอมพิวเตอร์น้อยลงในปัจจุบัน
1
“ผมคิดว่าความสามารถในการแปลและพากย์เสียงโดยอัตโนมัติเป็นสิ่งที่ผมค่อนข้างตื่นเต้นสำหรับอนาคต” ซักเคอร์เบิร์กกล่าว “การที่สามารถแปลเนื้อหาของคุณเป็นภาษาต่างๆ โดยอัตโนมัติ และทำให้คนจำนวนมากเข้าถึงได้ จะมีพลังมาก ถ้ามันสามารถทำให้รู้สึกเป็นธรรมชาติและเหมือนคุณกำลังพูดภาษานั้นจริงๆ”
2
Ray-Ban Meta ซึ่งเป็นความร่วมมือกับแบรนด์แว่นตาชื่อดัง Ray-Ban (CR:Mashable)
นอกจากนี้ Meta ยังกำลังพัฒนา wristband อ่านคลื่นไฟฟ้าจากระบบประสาท ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่สามารถรับสัญญาณจากระบบประสาทใต้ผิวหนังได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ได้โดยแทบไม่ต้องขยับมือ
1
“คุณสามารถมีสายรัดข้อมือที่ได้รับการฝึกให้รับสัญญาณที่แตกต่างกันและเส้นทางของสมองที่สื่อสารเพื่อเคลื่อนไหวมือของคุณในลักษณะที่แตกต่างจากที่คุณทำแบบปกติ” ซักเคอร์เบิร์กอธิบาย “ในที่สุดคุณก็จะถึงจุดที่คุณสามารถสื่อสารกับอินเตอร์เฟซระบบประสาทนี้ได้โดยแทบไม่ต้องขยับมือให้คนอื่นเห็นมากนัก”
ซักเคอร์เบิร์กเชื่อว่าการผสมผสานระหว่างแว่นตาอัจฉริยะแล wristband อ่านคลื่นไฟฟ้าจากระบบประสาทจะสร้างประสบการณ์การใช้งานที่เหนือกว่าสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน โดยทำให้ผู้ใช้สามารถอยู่ในโลกความเป็นจริงได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันก็ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลและมีปฏิสัมพันธ์กับเทคโนโลยีได้อย่างราบรื่น
2
แม้ว่าวิสัยทัศน์ของซักเคอร์เบิร์กจะดูน่าตื่นเต้น แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายและคำถามมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของผลกระทบต่อการจ้างงานและความเป็นส่วนตัว
1
ซักเคอร์เบิร์กมองว่าการพัฒนาของ AI จะไม่ได้นำไปสู่การทดแทนงานของมนุษย์ทั้งหมด แต่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงลักษณะของงาน เขาเปรียบเทียบกับวิวัฒนาการของมนุษยชาติที่ผ่านมา ซึ่งเทคโนโลยีได้ช่วยให้ผู้คนมีโอกาสทำงานที่สร้างสรรค์มากขึ้น
“เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาไป เครื่องมือที่เราใช้ก็จะพัฒนาตามไปด้วย และส่วนหนึ่งของการเป็นคนที่มีความสามารถในยุคนี้ก็คือการก้าวทันเครื่องมือเหล่านั้น” ซักเคอร์เบิร์กกล่าว “ผมเชื่อว่าทุกคนมีความคิดสร้างสรรค์ในแบบของตัวเอง”
3
ซักเคอร์เบิร์กยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้คนสามารถแสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์ได้มากขึ้น เขาอ้างอิงคำพูดของปิกัสโซที่ว่า “เด็กทุกคนเป็นศิลปิน ความท้าทายคือการรักษาความเป็นศิลปินไว้เมื่อเติบโตขึ้น” และมองว่าเทคโนโลยีสามารถช่วยให้ผู้คนรักษาความคิดสร้างสรรค์นั้นไว้ได้
อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและการใช้ข้อมูลยังคงเป็นประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงอุปกรณ์สวมใส่ที่สามารถเก็บข้อมูลได้ตลอดเวลา ซักเคอร์เบิร์กยอมรับว่านี่เป็นความท้าทายที่สำคัญและต้องมีการพัฒนาแนวทางการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้อย่างจริงจัง
1
นอกจากนี้ ซักเคอร์เบิร์กยังแสดงความเห็นเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์ในยุคดิจิทัล โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีเรื่องราวและเอกลักษณ์เฉพาะตัว เขายกตัวอย่างโครงการส่วนตัวของเขาเอง โครงการผลิตเนื้อวัวคุณภาพดีที่สุดในโลกด้วยการให้อาหารวัวของเขาด้วยแมคคาเดเมียและเบียร์ที่ผลิตในท้องถิ่นในฮาวาย ที่มีการผสมผสานนวัตกรรมและความเป็นเอกลักษณ์เข้าด้วยกัน
2
โครงการผลิตเนื้อวัวคุณภาพดีที่ Mark Zuckerberg ริเริ่มขึ้นมา (CR:MoneyControl)
“ทุกคนทำอะไรบางอย่างในแบบที่เป็นเอกลักษณ์ และผมคิดว่าการเฉลิมฉลองและการแสดงออกถึงเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นเอกลักษณ์ของสิ่งที่คุณกำลังทำ เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เจ๋ง” ซักเคอร์เบิร์กกล่าว
1
มุมมองสู่อนาคต
ในช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ ซักเคอร์เบิร์กได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับอนาคตของเทคโนโลยีในอีก 5-10 ปีข้างหน้า โดยเขาเชื่อว่าแว่นตาอัจฉริยะจะมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด โดยอาจมีการแบ่งเป็นสามระดับ:
1. แว่นตาพื้นฐานที่มีกล้อง ไมโครโฟน และลำโพงในตัว
2. แว่นตาที่มีจอแสดงผลขนาดเล็กเพิ่มเติม
3. แว่นตาที่มีระบบโฮโลแกรมเต็มรูปแบบ
1
ซักเคอร์เบิร์กยังกล่าวถึงการพัฒนา AI รุ่นต่อไปอย่าง Llama 4 ซึ่งจะมีความสามารถในการใช้เหตุผลและการทำงานแบบหลายโมดัล (Multimodal) ที่ดีขึ้น
1
“เมื่อมันเปลี่ยนจากการเป็นแชทบอทแบบผลัดกันพูดไปเป็นเอเจนต์ที่คุณสามารถให้มันทำในสิ่งที่คุณอยากทำ และมันสามารถทำสิ่งที่ซับซ้อนมากขึ้นให้คุณได้ นั่นจะเจ๋งมาก” ซักเคอร์เบิร์กกล่าว
ท้ายที่สุด ซักเคอร์เบิร์กเน้นย้ำว่าการพัฒนาเทคโนโลยีควรมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มขีดความสามารถของมนุษย์ ไม่ใช่การแทนที่มนุษย์ เขามองว่าอนาคตที่ดีที่สุดคือการที่มนุษย์และเทคโนโลยีทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน โดยเทคโนโลยีช่วยขยายขอบเขตของสิ่งที่มนุษย์สามารถทำได้
การสัมภาษณ์นี้ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับทิศทางของเทคโนโลยีในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน AI และอุปกรณ์สวมใส่ แม้ว่าวิสัยทัศน์ของซักเคอร์เบิร์กจะดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ในบางแง่มุม แต่ก็เป็นภาพที่น่าตื่นเต้นและท้าทายสำหรับอนาคตที่กำลังจะมาถึง
1
อย่างไรก็ตาม เราต้องตระหนักว่าการพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้จำเป็นต้องคำนึงถึงผลกระทบทางสังคม จริยธรรม และความเป็นส่วนตัวอย่างรอบด้าน การสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความรับผิดชอบจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคน
3
ในขณะที่เราก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของเทคโนโลยี เราทุกคนมีบทบาทสำคัญในการกำหนดว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกใช้อย่างไรและจะส่งผลกระทบต่อสังคมของเราอย่างไร การเปิดใจรับฟังมุมมองที่หลากหลาย และการมีส่วนร่วมในการถกเถียงเกี่ยวกับอนาคตของเทคโนโลยี จะช่วยให้เราสามารถสร้างอนาคตที่ทุกคนได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง
1
References :
บทสัมภาษณ์ Mark Zuckerberg : Mark Zuckerberg on Creators, AI Studio, Neural Wristbands, Holographic Smart Glasses, Picasso & More จากช่อง Youtube Kallaway
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา