25 ก.ค. เวลา 02:16 • กีฬา

อัจฉริยะเบอร์บาตอฟ กับ 4 ปีสั้นๆ แต่มีความหมายที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ เป็นนักเตะที่ถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะ เขาเคลื่อนไหวช้า แต่เล่นฟุตบอลได้สวยงาม เป็นคนที่มีเทคนิคแพรวพราว จนกองหลังคาดไม่ถึง ว่าจะมาไม้ไหน
เบอร์บาตอฟ เล่าว่า "ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง และมีประโยคเขียนว่า 'ถ้าไม่มีความสวยและความสง่างาม จะไม่มีพลังที่จะเอาชนะใจใครได้' ประโยคนี้มันติดอยู่ในหัวผมตลอดเลย เพราะผมคิดว่าอยากเล่นฟุตบอลแบบนี้ เล่นให้สวย และสง่างาม"
เมื่อรู้ว่าตัวเองอยากเล่นฟุตบอลแบบไหน เบอร์บาตอฟก็ฝึกฝนเรื่องเทคนิคและความสามารถเฉพาะตัวให้มากที่สุด ไม่นานนัก เขาก็โดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ จากทีมซีเอสเคเอ โซเฟีย ในบัลแกเรีย มาสู่ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ในบุนเดสลีกา ด้วยค่าตัว 8 แสนปอนด์
จากนั้นย้ายจากเลเวอร์คูเซ่น ไปสเปอร์ส ด้วยค่าตัว 10.9 ล้านปอนด์ แค่พริบตาเดียว เขาก็ได้ก้าวมาสู่ เวทีใหญ่ที่สุดในโลกอย่างพรีเมียร์ลีก
เบอร์บาตอฟเล่นกับสเปอร์สได้อย่างโดดเด่น เขาตัวสูงใหญ่ถึง 189 ซม. แต่เก็บบอลเก่ง และยิงลูกสวยๆ ได้บ่อยมาก ทำให้เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ให้ความสนใจ และแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าอยากได้ตัวไปร่วมทีมด้วย
2
ในช่วงซัมเมอร์ปี 2008 หลังจากแมนฯ ยูไนเต็ดได้แชมป์ยุโรป เรอัล มาดริด มาทาบทามคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ให้ย้ายไปอยู่ด้วย แต่เซอร์ อเล็กซ์ ขอโรนัลโด้ให้อยู่ช่วยทีมต่ออีกหนึ่งปี และสัญญาว่าจะปล่อยตัวในซีซั่นหน้า โรนัลโด้ยอมรับเงื่อนไขนี้
แต่ ณ วันนั้น เฟอร์กี้ก็รู้แล้วว่ายังไงก็ต้องเสียโรนัลโด้ไปแน่ๆ ดังนั้นแผนในอนาคตของเขาก็คือ ซื้อเบอร์บาตอฟเข้ามา แล้วเอามายืนเป็นแกนหลักในแนวรุกของทีม เล่นร่วมกับ เวย์น รูนี่ย์ ในวันที่โรนัลโด้ย้ายไปแล้ว
แมนฯ ยูไนเต็ด ยื่นข้อเสนอซื้อเบอร์บาตอฟครั้งแรก ให้สเปอร์ส ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2008 ด้วยตัวเลข 20 ล้านปอนด์ แต่แดเนียล เลวี่ ปฏิเสธ ไม่ยอมปล่อยตัวกันง่ายๆ
1
เฟอร์กี้ใช้กลยุทธ์หว่านล้อม ด้วยการพูดผ่านสื่อมวลชนว่า "เราต้องการกองหน้าอีกหนึ่งคนเข้ามาเสริมทัพ" จากนั้น เอมิล ดันท์เชฟ เอเยนต์ของเบอร์บาตอฟก็รับลูก แล้วให้สัมภาษณ์ว่า "เซอร์ อเล็กซ์ บอกว่าอยากได้กองหน้า และเราก็หวังว่าคนๆ นั้น จะเป็นดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ"
สองฝ่ายหยอดกันไปหยอดกันมาข้ามหัวสเปอร์ส แสดงออกเลยว่า ใจของนักเตะไม่อยู่กับทีมไก่เดือยทองแล้ว แต่สเปอร์สนั้นมีความเขี้ยวมากพอ พวกเขาอดทน ยื้อเวลาไปเรื่อยๆ
18 สิงหาคม 2008 เบอร์บาตอฟพูดตรงๆ เลยว่า "ผมยังเป็นนักเตะสเปอร์สอยู่ก็จริง แต่ผมก็อยากไล่ตามความฝันของตัวเองเหมือนกัน"
ณ เวลานั้น สเปอร์ส อยู่กลางตาราง ได้ไปเล่นแค่ถ้วยยูฟ่า คัพ แต่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มันเป็นอีกเรื่องเลย นี่คือทีมระดับยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ทีมเลเวลสูงสุดของโลก เบอร์บาตอฟ ไม่ปิดกั้นความรู้สึก และยอมรับว่าอยากไปอยู่ทีมปีศาจแดง
แมนฯ ยูไนเต็ด เพิ่มข้อเสนอขึ้นอีก เป็น 25 ล้านปอนด์ แต่สเปอร์สยังไม่ตกลง จนถึงวันสุดท้ายของตลาดนักเตะ 31 สิงหาคม 2008 ทีมปีศาจแดงยื่นครั้งสุดท้าย 30.75 ล้านปอนด์ คราวนี้สเปอร์ส ตอบตกลง ให้เบอร์บาตอฟย้ายทีมได้ในที่สุด
วันแรกที่เบอร์บาตอฟบินจากลอนดอน มาถึงสนามบินแมนเชสเตอร์ เฟอร์กี้ไปรอรับเขาที่สนามบินด้วยตัวเอง ทั้งสองคนและเอเยนต์ของเบอร์บาตอฟขึ้นรถสโมสรมาด้วยกัน นี่แสดงให้เห็นเลยว่า เฟอร์กี้ให้ความสำคัญกับดีลนี้มากขนาดไหน
ในฤดูกาล 2008-09 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีแนวรุกที่น่ากลัวที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกก็ว่าได้ เพราะมีคริสเตียโน่ โรนัลโด้, เวย์น รูนี่ย์, คาร์ลอส เตเวซ และ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ เล่นอยู่ในทีมเดียวกัน ยังไม่นับ พาร์ก จี ซอง, นานี่, แดนนี่ เวลเบ็ค และ กีโก้ มาเคด้า ที่จะถูกหยิบมาใช้ตามสถานการณ์
แมนฯ ยูไนเต็ดยังคงเป็นสุดยอดทีมของอังกฤษ พวกเขาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2008-09 แบบไม่มีปัญหา, ได้แชมป์ฟีฟ่าคลับเวิลด์, ได้แชมป์ลีกคัพ และได้เข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่ไปแพ้บาร์เซโลน่า
ปีแรกกับแมนฯ ยูไนเต็ด เบอร์บาตอฟเล่นง่ายมาก เขามีพื้นที่ มีเวลา สามารถโชว์ของได้เต็มๆ
ตัวอย่างเช่น ในเกมเจอเวสต์แฮม ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด เบอร์บาตอฟ ได้ปล่อยอาวุธเด็ดออกมา นั่นคือ ท่าสปินริมเส้น เป็นมุมที่ไม่น่าเป็นไปได้ กระชากผ่านเจมส์ คอลลินส์ไปดื้อๆ แล้วจ่ายให้โรนัลโด้ แท็บอิน ยิงเข้าประตู นี่ยังเป็นช็อตเด็ดของพรีเมียร์ลีกที่ผู้คนจนจำได้จนถึงวันนี้ ในชื่อ "เบอร์บา สปิน"
ทุกอย่างเหมือนจะดีสำหรับเบอร์บาตอฟ แต่ปัญหาของเขาก็เกิดขึ้น หลังจบซีซั่น 2008-09 พอคริสเตียโน่ โรนัลโด้ย้ายทีมไปเรอัล มาดริด ด้วยราคาสถิติโลก แล้วคาร์ลอส เตเวซ ที่เกิดอาการน้อยใจเพราะได้ลงเล่นน้อยที่สุด ในบรรดาตัวจริงทั้ง 4 คน (โรนัลโด้ตัวจริง 31 นัด, เบอร์บาตอฟ 29 นัด, รูนี่ย์ 25 นัด และ เตเวซ 18 นัด) ก็ไม่อยากอยู่กับทีมปีศาจแดงต่ออีกแล้ว จึงตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้แทน
เท่ากับว่า จากทีมที่มีตัวรุกระดับโลกอยู่เต็มไปหมด เหลือแค่ เบอร์บาตอฟ กับ รูนี่ย์ คราวนี้เฟอร์กูสันเลยปวดหัวมาก เขาพยายามทดลองสารพัด ปีเดียวเปลี่ยนแท็กติกไป 4-5 รูปแบบ แต่ก็ยังไม่ได้ผล สุดท้ายในฤดูกาล 2009-10 ทีมเสียแชมป์พรีเมียร์ลีกให้กับเชลซี
พอเข้าสู่ฤดูกาลที่ 3 ของเบอร์บาตอฟ (2010-11) เซอร์ อเล็กซ์ ต้องการพาทีมกลับมาเป็นแชมป์อีกครั้ง เขาจึงเปลี่ยนแนวทางการเล่นใหม่ จากเดิมที่พร้อมปล่อยให้นักเตะคนหนึ่งครองบอลได้นานๆ ก็ปรับวิธีเล่น คือต้องเคลื่อนที่ให้เร็วขึ้น วิ่งให้เยอะขึ้น
และคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือเบอร์บาตอฟนั่นเอง
ทุกคนรู้ดีว่าเบอร์บาตอฟเป็นอัจฉริยะ เป็นคนที่มีเทคนิคเหนือชั้นมาก แต่ปัญหาคือ เขาทำให้เกมของแมนฯ ยูไนเต็ดช้าลง เฟอร์กี้เล่าว่า "เบอร์บาตอฟไม่ใช่ผู้เล่นที่คล่องแคล่วรวดเร็ว เขาชอบการเคลื่อนเกมไปช้าๆ เพื่อที่ตัวเองจะได้ค่อยๆ วิ่งเข้าไปในเขตโทษของคู่แข่งได้ หรือไม่เขาก็จะฉีกตัวเองออกมานอกกรอบเขตโทษเพื่อคอยเชื่อมเกม"
ไอเดียของแมนฯ ยูไนเต็ดยุคใหม่ คือทุกคนต้องวิ่งให้เยอะที่สุด ตัดบอลได้ปั๊บ เล่นเคาน์เตอร์แอทแท็กทันที แต่เบอร์บาตอฟจะไม่ทำอย่างนั้น ถ้าทีมตัดบอลได้ เขาจะดึงจังหวะใช้ช้าลง ค่อยๆ เข้าทำ เพราะนั่นคือสไตล์ที่เขาเป็น
อีกหนึ่งปัญหาของเบอร์บาตอฟ คือไม่ค่อยช่วยไล่บอล เฟอร์กี้เล่าว่า "ตอนฝึกซ้อม เขาพยายามจะเล่นเกมรุกให้เร็วขึ้น แต่ก็มีปัญหาอีกเรื่อง คือพอทีมเสียบอลกะทันหัน เขาไม่รีบไปวิ่งไล่บอล แต่เลือกจะเดินแทน คือคุณทำแบบนั้นไม่ได้หรอกในสนามซ้อมของเรา ถ้าหากคุณไม่ไล่บอล ก็ต้องรีบถอยมาประจำตำแหน่งให้เร็วที่สุด"
1
ที่ในภายหลัง คนมักพูดถึงเบอร์บาตอฟว่า "เฉื่อย" ก็เป็นเพราะสาเหตุนี้ เขาไม่ชอบไล่บอล และมีปริมาณการวิ่งที่น้อย ถ้าเทียบกับกองหน้าคนอื่นๆ
แต่เอาจริงๆ มันก็ไม่ใช่ความผิดของใคร ตอนที่เฟอร์กูสันซื้อเบอร์บาตอฟมาในปี 2008 เขารู้อยู่แล้วว่าเบอร์บาตอฟเล่นอย่างไร ตอนแรกมันยังไม่เป็นปัญหา แต่พอทีมเปลี่ยนรูปแบบการเล่น การเล่นช้า และไม่ช่วยไล่ ก็เป็นปัญหาขึ้นมาทันที
ในฤดูกาล 2010-11 แม้จะได้โอกาสลงสนามน้อยลงกว่าเดิม แต่ทุกครั้งที่ได้เล่น เบอร์บาตอฟจะสร้างผลงานมาสเตอร์พีซอยู่เสมอ เช่น
- ทำแฮตทริกใส่ลิเวอร์พูลที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ช่วยทีมชนะ 3-2
- เป็นนักเตะต่างชาติคนแรก ที่ยิงได้ 5 ลูกในนัดเดียว ในเกมชนะแบล็คเบิร์น 7-1
- ยิงแฮตทริกที่สาม ในเกมถล่มเบอร์มิงแฮม 5-0
รวมทั้งฤดูกาลเบอร์บาตอฟได้ลงตัวจริงแค่ 24 นัด แต่ยิงได้ถึง 20 ลูก คว้าตำแหน่งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก ร่วมกับคาร์ลอส เตเวซ ของแมนฯ ซิตี้
แมนฯ ยูไนเต็ดได้แชมป์พรีเมียร์ลีก ในซีซั่น 2010-11 และได้เข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกที่เวมบลีย์ด้วย และตรงนี้เอง ที่จุดแตกหักของเบอร์บาตอฟกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็มาถึง
ในนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีกกับบาร์เซโลน่า เกมนั้นเฟอร์กี้ใช้ระบบ 4-4-1-1 โดยวางชิชาริโต้ เป็นกองหน้าตัวเป้า เวย์น รูนี่ย์ เป็นหน้าต่ำ ส่วนในม้านั่ง 7 คน มีไมเคิล โอเว่น เป็นกองหน้าตัวสำรอง ขณะที่เบอร์บาตอฟ หายไปจากทีม ไม่มีชื่อเลย ทั้งๆ ที่สภาพร่างกายเต็มร้อย
เฟอร์กูสันอธิบายว่าชิชาริโต้ เป็นตัวจริงเพราะวิ่งไล่บอลได้เยอะ สามารถกดดันแนวรับของบาร์เซโลน่าได้ ส่วนโควต้าสำรอง มีพื้นที่ให้กองหน้าแค่คนเดียว และถ้าต้องเลือกระหว่างโอเว่น กับ เบอร์บาตอฟ ก็ขอเลือกโอเว่นดีกว่า เพราะสมมุติเกมเข้าสู่ช่วงท้าย แล้วสกอร์เสมอกันอยู่ ความเร็วของโอเว่นน่าจะมีประโยชน์มากกว่าในเกมโต้กลับ ดังนั้นจึงตัดชื่อเบอร์บาตอฟทิ้งไป ให้นั่งดูแค่บนอัฒจันทร์เท่านั้น
ดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก แต่ไม่มีชื่อทั้งตัวจริงและตัวสำรองในนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีก ถึงจุดนั้น เบอร์บาตอฟก็ยอมรับความจริงว่าเขาคงอยู่กับแมนฯ ยูไนเต็ดต่อไปได้อีกไม่นาน
และสุดท้าย ในซัมเมอร์ปี 2012 เบอร์บาตอฟก็ย้ายไปอยู่ฟูแล่มด้วยค่าตัว 5 ล้านปอนด์
ในวันที่อำลาทีม เบอร์บาตอฟ ไม่ได้โกรธเคืองใคร เขากล่าวว่า "วิธีการเล่นแบบใหม่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เน้นการใช้ความเร็วมากขึ้น ไม่ค่อยเข้ากับตัวผม เพราะมันไม่มีเวลาให้หายใจสำหรับนักเตะสายมันสมอง ผมเป็นผู้เล่นที่ชอบคิดล่วงหน้า คิดถึงการประสานงานสวยๆ และลูกจ่ายที่คมกริบ เมื่อต้องมาเล่นในฟุตบอลที่เร็วขึ้นขนาดนี้ มันก็ดูไม่เวิร์ก"
"แต่ไหนแต่ไร ผมก็ไม่เคยเป็นผู้เล่นที่รวดเร็วที่สุดในสนามอยู่แล้ว สไตล์ของผมคือการเก็บบอลไว้กับตัว ดังนั้นคงต้องยอมรับว่าผมคงไม่เหมาะกับทีมนี้อีกแล้ว"
ช่วงท้ายของอาชีพ เบอร์บาตอฟย้ายไปอยู่ ฟูแล่ม, โมนาโก, พีเอโอเค ในลีกกรีซ และ เคราล่า บราเธอร์ส ในลีกอินเดีย ก่อนจะแขวนสตั๊ดในปี 2018 ตอนมีอายุ 37 ปี
ในเวลาต่อมา หลังจากที่เบอร์บาตอฟแขวนสตั๊ดแล้ว ตัวเฟอร์กี้ออกมายอมรับว่า หนึ่งในความเสียใจของการเป็นผู้จัดการทีม คือการไม่ใส่ชื่อเบอร์บาตอฟในเกมนัดชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2011 เขาขอโทษ และคิดว่าตัวเองตัดสินใจผิดพลาดในวันนั้น
เมื่อได้ยินว่าเฟอร์กี้ออกมาขอโทษ เบอร์บาตอฟกล่าวว่า "มันเป็นความรู้สึกหลายอย่างรวมกัน อย่างแรกเลย คุณต้องมีจิตใจแข็งแกร่งมากนะ ที่จะพูดคำว่า 'ขอโทษ' ออกมา นี่คือสิ่งที่แสดงตัวตนของเซอร์ อเล็กซ์ ได้ดีที่สุด นอกจากนั้นคำพูดของเขายังทำให้ผมรู้สึกดีด้วย แต่เอาจริงๆ ผมก็รู้สึกมาตลอดว่า ตัวเองควรมีชื่อในเกมสำคัญแบบนั้นนะ แต่ทุกอย่างมันก็ผ่านไปแล้ว เราย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว"
นักข่าวถามต่อว่า แล้วจะยกโทษให้เฟอร์กูสันเลยไหม เบอร์บาตอฟตอบว่า "ไม่มีอะไรที่ต้องยกโทษให้กันหรอกนะ ผมไม่ได้โกรธเกลียดอะไรเขาเลย แค่ผิดหวังเท่านั้นเอง จนบางทีอาจจะแสดงออกในท่าทีก้าวร้าว แต่เมื่อเวลาผ่านไป ลองมาคิดดู ถ้าผมเป็นผู้จัดการทีมและต้องตัดสินใจวางไลน์อัพในเกมนัดชิงชนะเลิศ ผมอาจจะทำแบบเดียวกับเขาเลยก็ได้"
ช่วงเวลาที่เบอร์บาตอฟ ลงเล่นกับแมนฯ ยูไนเต็ด อาจจะไม่ได้ยาวนัก แค่ 4 ซีซั่นเท่านั้น แต่เขาก็สร้างความรู้สึกดีๆ ให้กับแฟนบอลปีศาจแดง จากหลายเหตุผล
ข้อแรก เขาเป็นนักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด 1 ใน 5 ที่คว้าดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ ร่วมกับ ดไวท์ ยอร์ก, รุด ฟาน นิสเตลรอย, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่
และข้อสอง เขาเป็นผู้เล่นที่มีความเป็นศิลปิน เล่นฟุตบอลอย่างสวยงาม สร้างเพลย์มหัศจรรย์ขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งนักเตะสไตล์แบบนี้หาได้ยากยิ่ง ในโลกฟุตบอลยุคใหม่ที่เน้นความเร็ว และพละกำลัง
และข้อสาม ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว ที่เบอร์บาตอฟจะพูดถึงแมนฯ ยูไนเต็ดในทางที่ไม่ดี คือเมื่อไปต่อไม่ได้ ก็อำลากันไปด้วยความเข้าใจ
ช่วงชีวิตนักเตะของเบอร์บาตอฟ อาจไม่ได้เป็นนักเตะระดับบัลลงดอร์ และไม่เคยไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย แต่เขาเป็นผู้เล่นที่ใครๆ ก็จดจำได้ จากสไตล์เฉพาะตัว และเทคนิค "เบอร์บา สปิน" อันลือลั่น
ในวันที่แขวนสตั๊ดมีนักข่าวเคยถามเบอร์บาตอฟว่า ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้ ไปเจอเด็กชายเบอร์บาตอฟวัย 10 ขวบ จะบอกให้เขาเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่ เผื่อว่าชีวิตการค้าแข้งในอนาคตจะประสบความสำเร็จมากกว่านี้
เบอร์บาตอฟตอบว่า "โอเค ผมอาจจะบอกเด็กคนนั้นว่าให้กล้าพูดสักหน่อยนะ เวลาย้ายไปทีมใหม่ๆ หรือ เจอผู้คนใหม่ๆ อย่าเอาแต่เขินอายขนาดนั้น เพราะเด็กชายเบอร์บาตอฟ แทบจะไม่เปิดรับใครเข้ามาในชีวิตเลย"
"แต่ถ้าเป็นเรื่องฟุตบอล ผมคงบอกว่า ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลยสักอย่างเดียว จงเล่นฟุตบอลแบบที่นายเป็นนั่นแหละ"
#THEARTIST
โฆษณา