26 ก.ค. เวลา 02:18 • ประวัติศาสตร์

เส้นทางสู่การเป็นชาติมหาอำนาจของ “สหรัฐอเมริกา”

ปัจจุบัน “สหรัฐอเมริกา” คือมหาอำนาจอันดับต้นๆ ของโลก มีอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองโลก
แต่เรื่องราวของชาติมหาอำนาจนี้เป็นอย่างไร? ก้าวขึ้นสู่การเป็นมหาอำนาจได้อย่างไร?
ลองมาดูกันครับ
ในช่วงเวลาที่สหรัฐอเมริกาได้รับอิสรภาพจากอังกฤษในปีค.ศ.1776 (พ.ศ.2319) แผนที่ของสหรัฐอเมริกานั้นต่างจากในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง และสหรัฐอเมริกาก็ขยายดินแดนและอำนาจเข้าไปยังทวีปอเมริกาเหนือ
อาจจะเรียกได้ว่าสหรัฐอเมริกาถูกสร้างขึ้นมาจากเลือดเนื้อของชนเผ่าพื้นเมือง เนื่องจากในช่วงที่ขยายดินแดน ชนเผ่าพื้นเมืองถูกสังหารเป็นจำนวนมาก ในขณะที่อำนาจของสหรัฐอเมริกาก็แผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ จนไปไกลถึงมหาสมุทรแปซิฟิก
2
หลังจาก “สงครามกลางเมืองอเมริกา (American Civil War)” ฝ่ายสมาพันธรัฐพ่ายแพ้ และถูกผนวกรวมเข้ากับฝ่ายสหภาพ
สงครามกลางเมืองอเมริกา (American Civil War)
“วิลเลียม เอช. ซูเวิร์ด (William H. Seward)” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาในเวลานั้น เชื่อว่าสหรัฐอเมริกาควรจะหาทางผลักดันตนเองให้มากกว่านี้เพื่อก้าวไปสู่ตำแหน่งมหาอำนาจโลก และได้เสนอแผนการซื้ออลาสก้าจากรัสเซีย
2
แผนการของซูเวิร์ดไปไกลกว่านั้นมาก มีแผนการที่จะซื้อกรีนแลนด์และไอซ์แลนด์อีกด้วย หากแต่สภาไม่เอาด้วย ตีตกแผนการนี้ไป
แผนการขยายอำนาจเหล่านี้เป็นที่จับจ้องและวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ชาวอเมริกันในยุคแรก เนื่องจากชาวอเมริกันจำนวนมากนั้นเป็นพวกต่อต้านจักรวรรดินิยม
1
วิลเลียม เอช. ซูเวิร์ด (William H. Seward)
ชาวอเมริกันต่างกังวลว่าการขยายอำนาจไปกว้างไกลนั้นจะทำให้ต้องผนวกรวมชนชาติที่ด้อยกว่าเข้ามารวมกับพวกตน และยังต่อต้านนโยบายทุกอย่างที่อาจจะนำไปสู่การเป็นจักรวรรดิ
1
แต่แล้วเมื่ิอการมาถึงของ ”การปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution)” ความสนใจเรื่องการขยายอำนาจก็ค่อยๆ จางลง
2
การปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้เศรษฐกิจขยายตัว แต่ในขณะเดียวกัน ผู้นำสหรัฐอเมริกาอย่างประธานาธิบดี “วิลเลียม แม็คคินลีย์ (William McKinley)” ซึ่งมีความต้องการจะขยายอำนาจออกไปอย่างกว้างไกล ก็ได้มีนโยบายในการขยายดินแดนเพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ขยายตัวและอำนาจของสหรัฐอเมริกา
ในปีค.ศ.1898 (พ.ศ.2441) แม็คคินลีย์ได้นำพาประเทศเข้าสู่สงครามกับสเปน โดยต้นเหตุความขัดแย้งก็มาจากผลประโยชน์และอำนาจในเกาะคิวบา
2
วิลเลียม แม็คคินลีย์ (William McKinley)
ด้วยความที่สหรัฐอเมริกามีกองทัพที่ทันสมัยและเกรียงไกร ทำให้กองทัพอเมริกันเอาชนะกองทัพสเปนได้อย่างง่ายดาย และยังทำให้สหรัฐอเมริกาได้มีอำนาจเหนือเปอร์โตริโก เกาะกวม และฟิลิปปินส์
1
จากนั้น สหรัฐอเมริกาก็ได้ขยายอำนาจออกไป และในปีค.ศ.1898 (พ.ศ.2441) สหรัฐอเมริกาก็ได้เข้ายึดครองฮาวาย
ในปีต่อมา สหรัฐอเมริกาก็ได้ครอบครองเกาะเวก และในปีค.ศ.1900 (พ.ศ.2443) ก็ได้ครอบครองอเมริกันซามัว ก่อนที่ในวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ.1903 (พ.ศ.2446) สหรัฐอเมริกาจะได้ให้การรับรองสาธารณรัฐปานามา
ปานามานั้นเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของโคลัมเบีย และสหรัฐอเมริกาก็ได้ทำให้ปานามาเป็นสาธารณรัฐอิสระเพื่อที่จะได้ใช้เส้นทางสำหรับคลองปานามา
2
ปานามายอมให้สหรัฐอเมริกาครอบครองเขตคลองปานามา แลกกับเงินจำนวน 10 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 357 ล้านดอลลาร์ตามค่าเงินปัจจุบัน (ประมาณ 12,900 ล้านบาท) และเงินปีอีกปีละ 250,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 8.9 ล้านดอลลาร์ตามค่าเงินปัจจุบัน (ประมาณ 322 ล้านบาท)
พฤศจิกายน ค.ศ.1916 (พ.ศ.2459) สาธารณรัฐโดมินิกันได้ถูกปกครองโดยรัฐบาลทหารภายใต้รัฐบาลอเมริกัน และในปีต่อมา สหรัฐอเมริกาก็ได้ซื้อหมู่เกาะเวอร์จิน ซึ่งการขยายอำนาจออกไปอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้พื้นที่ของสหรัฐอเมริกาในฐานะมหาอำนาจเริ่มเด่นชัดขึ้น
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ประธานาธิบดี “วูดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson)” ก็ตระหนักว่าอำนาจของสหรัฐอเมริกากำลังขยายออกไปอย่างต่อเนื่อง และประธานาธิบดีวิลสันก็ได้เริ่มต้น เป็นแกนนำในการหาทางแก้ปัญหาความขัดแย้งในเวทีโลก
1
วูดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson)
ผลที่ได้ก็คือ “องค์การสันนิบาตชาติ (League of Nations)”
องค์การสันนิบาตชาติ ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ.1920 (พ.ศ.2463) หลังจากฝ่ายสัมพันธมิตรเอาชนะฝ่ายมหาอำนาจกลางในสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้
วิลสันต้องการจะเปลี่ยนแปลงการเมืองโลกผ่านองค์การสันนิบาตชาติ หากแต่ตัวสหรัฐอเมริกาเองนั้นกลับไม่เข้าร่วมกับองค์การสันนิบาตชาติ เนื่องจากสภาไม่อนุมัติ
1
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงสองปีแรก สหรัฐอเมริกาเลือกที่จะวางตัวเป็นกลาง หากแต่ด้วยสถานการณ์โลก การจะเป็นกลางไปตลอดย่อมเป็นไปไม่ได้
จักรวรรดิญี่ปุ่นก็เหมือนกับระเบิดเวลา เป็นเหมือนภัยคุกคามสหรัฐอเมริกา และแล้วในเดือนธันวาคม ค.ศ.1941 (พ.ศ.2484) “เพิร์ล ฮาร์เบอร์ (Pearl Harbor)” ซึ่งเป็นฐานทัพอเมริกัน ก็ได้ถูกญี่ปุ่นโจมตี
จากเหตุการณ์นี้ สหรัฐอเมริกาเลือกที่จะไม่เป็นกลางอีกต่อไป และเข้าสู่สงครามอย่างเต็มตัว
เหตุการณ์ เพิร์ล ฮาร์เบอร์ (Pearl Harbor)
สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เปลี่ยนแปลงบทบาทของสหรัฐอเมริกาในเวทีโลกไปตลอดกาล ชัยชนะของสหรัฐอเมริกาเหนือญี่ปุ่น ทำให้ทั่วโลกต่างหวั่นเกรงต่อระเบิดปรมาณูซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงของสหรัฐอเมริกา
1
การใช้ระเบิดปรมาณูทำให้สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง และหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาก็เริ่มจะมองหาสันติภาพอีกครั้ง
1
24 ตุลาคม ค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) “องค์การสหประชาชาติ (United Nations)” ได้ถูกก่อตั้งขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
การแก้ปัญหาจะต้องเป็นไปผ่านกระบวนการทางกฎหมาย การหารือ และการเลือกตั้ง ไม่ใช่การรบดังเช่นที่ผ่านมา
1
องค์การสหประชาชาติไม่ใช่เป็นเพียงแค่องค์กรเดียวที่ก่อตั้งขึ้นมาจากผลของสงคราม แต่ผู้แทนอีก 730 คนจากชาติฝ่ายสัมพันธมิตรกว่า 44 ชาติ ได้เข้าร่วมหารือเรื่อง “ระบบเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods)” ซึ่งจัดขึ้นที่นิวแฮมเชียร์ สหรัฐอเมริกา โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างระบบทางการเงินโลกหลังสงคราม
การประชุมได้ข้อสรุปในปีค.ศ.1944 (พ.ศ.2487)และก็ได้มีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นมาตรฐานโดยใช้ทองคำเป็นฐาน
หากแต่ระบบนี้ก็ล้มเหลว แต่ก็เป็นเหมือนบทเรียนและรากฐานของระบบต่างๆ ในเวลาต่อมา อีกทั้งยังนำไปสู่การก่อตั้งองค์การระดับโลกอีกสองแห่ง นั่นคือ “กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund)“ หรือ ”ไอเอ็มเอฟ (IMF)” และ “ธนาคารโลก (World Bank)”
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ประชาธิปไตยตะวันตกกับคอมมิวนิสต์ตะวันออกได้จับมือกัน ร่วมกันต่อต้านเยอรมนี
หากแต่ทุกคนก็ทราบดีว่ามิตรภาพนี้เป็นเพียงมิตรภาพชั่วคราวเท่านั้น
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาก็มีอิทธิพลไปทั่วโลก และการขยายอำนาจของสหภาพโซเวียตในยุโรปและดินแดนอื่นๆ ทั่วโลกก็เป็นเหมือนภัยคุกคามของสหรัฐอเมริกา
โลกจึงถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย นั่นคือโลกทุนนิยมตะวันตกฝั่งหนึ่ง กับคอมมิวนิสต์ตะวันออกอีกฝั่งหนึ่ง และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “สงครามเย็น (Cold War)” ซึ่งเป็นเหมือนสงครามจิตวิทยาแข่งขันกันสร้างอิทธิพลของสองมหาอำนาจ
2
ด้วยความกลัวว่าสหภาพโซเวียตจะขยายอิทธิพลเข้าไปในยุโรปตะวันตก สหรัฐอเมริกาและชาติยุโรปอื่นๆ จึงร่วมกันก่อตั้ง “องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Treaty Organization)” หรือ “นาโต้ (NATO)” ในปีค.ศ.1949 (พ.ศ.2492)
นาโต้คือความร่วมมือทางการทหารระหว่างสมาชิกกว่า 32 ราย โดยมีสองรายอยู่ในอเมริกาเหนือ ส่วนที่เหลืออยู่ในยุโรป โดยมีจุดประสงค์เพื่อหยุดยั้งรัสเซียไม่ให้ขยายอำนาจเข้าไปยังชาติยุโรปอื่นๆ โดยสหรัฐอเมริกาต้องการจะจำกัดอำนาจของคอมมิวนิสต์ไม่ให้ขยายไปได้ทั่วโลก
1
และถึงแม้สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตจะไม่ได้ปะทะกันโดยตรงในสงครามเย็น หากแต่สองชาติก็เข้าไปมีส่วนในสงครามตัวแทนต่างๆ เช่น สงครามเกาหลี หรือสงครามเวียดนาม เป็นต้น
1
นั่นทำให้สหรัฐอเมริกาได้เป็นพันธมิตรกับชาติอย่างอิสราเอล ซาอุดิอาระเบีย และเกาหลีใต้ ต่อต้านคอมมิวนิสต์ และยังเข้าไปแทรกแซงชาติอื่นๆ เพื่อหยุดยั้งอำนาจของสหภาพโซเวียต ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการในชาติต่างๆ ไปจนถึงสนับสนุนเงินทุนแก่องค์กรล้มล้างรัฐบาล
1
การแทรกแซงนี้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลก รวมถึงในหมู่อเมริกันชนเอง โดยชาวอเมริกันหลายคนก็เห็นว่าการที่สหรัฐอเมริกาชอบไปแทรกแซงเรื่องของชาติอื่นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น เช่น สงครามเวียดนามก็ส่งทหารอเมริกันไปช่วย ทำให้ต้องเกิดการสูญเสียในหมู่อเมริกันชน อีกทั้งยังสิ้นเปลืองงบประมาณ
ในไม่ช้า ก็เกิดแคมเปญต่อต้านสงครามออกมาในสหรัฐอเมริกา โดยชาวอเมริกันต่างพยายามกดดันให้รัฐบาลชาติตนถอนกำลังออกจากเวียดนาม
ผลจากสงครามเย็น ทำให้สหรัฐอเมริกาสร้างพันธมิตรกับบางชาติ และสร้างความขัดแย้งกับบางชาติเช่นกัน โดยสงครามเย็นจบลงด้วยการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปีค.ศ.1991 (พ.ศ.2534) หากแต่สงครามเย็นก็ยังส่งผลกระทบต่อการเมืองโลกมาจนถึงทุกวันนี้
ความสัมพันธ์ทางทหาร องค์การต่างๆ ซึ่งหลงเหลือมาจากสงครามเย็นก็ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ และสหรัฐอเมริกาก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่ง และถูกจับตามองจากนานาประเทศทั่วโลก
โฆษณา