24 ก.ค. เวลา 06:02 • กีฬา

เป้าใหญ่ยูไนเต็ด : มานูเอล อูการ์เต้ กลางรับบุ๋น-บู๊ ฉายา "คาเซมิโร่อุรุกวัย" | Main Stand

มานูเอล อูการ์เต้ คือนักเตะที่กำลังเข้าใกล้การเป็นสมาชิกใหม่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด หลังจากที่ปีศาจแดงกำลังมองหานักเตะตำแหน่งเบอร์ 6 ที่จะเพิมเติมความสมดุลให้ทีม
ทว่า อูการ์เต้ ที่เพิ่งได้เล่นในเวทีระดับ 5 ลีกดังของยุโรปเพียงปีเดียว และไม่ได้เป็นตัวหลักของ เปแอสเช ในปีที่แล้ว มีดีแค่ไหน เขาจะอุดรอยรั่วแดนกลางปีศาจเเดงได้หรือไม่ ? ติดตามที่ Main Stand
ตัวแทนของ เจา ปาลินญ่า
ย้อนกลับไปในซัมเมอร์ฤดูกาล 2022-23 สปอร์ติ้ง ลิสบอน เสียกองกลางตัวรับที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปีที่พวกเขาเคยมีอย่าง เจา ปาลินญ่า ให้กับ ฟูแล่ม ครั้งนั้น รูเบน อโมริม กุนซือของ สปอร์ติ้ง ถึงกับออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าเป็นการสูญเสียที่น่ากังวล เพราะนักเตะตำแหน่งเบอร์ 6 ที่ทำหน้าที่ทั้งตัดและคุมเกมในตัวคนเดียวอย่าง ปาลินญ่า นั้นหาตัวแทนยาก
ในตลาดนักเตะตำแหน่งนี้ที่เป็นหัวใจของเกม มักจะมีราคาสูง และทีมจากโปรตุเกมยากจะทุ่มเงินก้อนโตระดับ 40-50 ล้านยูโรได้ ทว่าพวกเขายังมีสิ่งหนึ่งที่ถนัดมากที่สุด นั่นคือการเล็งเห็นศักยภาพในตัวนักเตะจากทวีปอเมริกาใต้
โมเดลการนำเข้านักเตะอเมริกาใต้ของวงการฟุตบอลโปรตุเกสถูกเริ่มในช่วงยุคต้นปี 2000s นำโดยสโมสรอย่าง เอฟซี ปอร์โต้ พวกเขาใช้ความได้เปรียบในการรับเอานักเตะอเมริกาใต้เข้ามา ที่นี่ใช้ภาษาโปรตุกีสในการสื่อสาร ซึ่งสำหรับนักเตะอเมริกาใต้อย่าง บราซิล สามารถเข้าใจได้ทันที
2
ขณะที่นักเตะละตินจากประเทศอื่นๆ ที่ใช้ภาษาสเปน แม้จะเข้าใจยากในส่วนของสำเนียงการพูด แต่ก็มีหลายคำที่ให้ความหมายเหมือน ๆ กัน แม้จะไม่สามารถเข้าใจทั้งหมดได้ แต่ก็ยังมีความใกล้เคียงระหว่างทั้ง 2 ภาษาอยู่บ้าง และยิ่งเป็นภาษาเขียนก็ยิ่งจะคล้ายกันมากกว่าภาษาพูดด้วยซ้ำไป
ดังนั้นเรื่องภาษาที่มีผลอย่างมากกับการปรับตัว จึงเป็นปัญหาในระดับที่ "น้อย" เมื่อแข้งละตินมาค้าแข้งในโปรตุเกส สิ่งสำคัญอีกอย่าง คือวัฒนธรรมของชาวโปรตุกีสที่มีความคล้ายคลึงกับชาวละติน มากกว่าชาวยุโรปในภูมิภาคอื่นๆ จึงทำให้ไม่แปลกนักที่ โปรตุเกส กลายเป็น 1 ในเซฟโซนของนักเตะอเมริกาใต้ที่จะย้ายมาเล่นในยุโรป
เรื่องดังกล่าวยืนยันได้จากบทความของ Portuguese Football Players Union ที่เว็บไซต์ Breacher Report มานำเสนอ นั่นคือในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ลีกสูงสุดของโปรตุเกสอย่าง พรีไมรา ลีกา นั้นมีนักเตะที่เกิดนอกประเทศค้าแข้งถึง 55% ของนักเตะทั้งหมด และผู้เล่นต่างชาติส่วนใหญ่นั้นเป็นนักเตะอเมริกาใต้
จะว่าไปนี่ก็คือโมเดลแบบ มันนี่บอล ทีมอย่าง เบนฟิก้า หรือ สปอร์ติ้ง ก็ได้รับอิทธิพลนี้มาจาก ปอร์โต้ ที่ประสบความสำเร็จเพราะได้ทั้งเงินและความสำเร็จในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป ไม่ใช่แค่ทีมระดับหัวแถวของลีกเท่านั้น แม้แต่ทีมเล็ก ๆ ก็เสาะแสวงหาดาวรุ่งชาวละตินมาพัฒนาเพื่อขายทำเงินเช่นกัน
ที่เราร่ายยาวมาขนาดนี้เพื่อจะบอกว่า มานูเอล อูการ์เต้ ก็คือหนึ่งในดีล มันนี่บอล ของทีมเล็ก ๆ ในลีกโปรตุเกส อย่าง "ฟามาลิเกา" ซึ่งดึงตัวเขามาจากสโมสร เฟนิกซ์ ในลีกสูงสุดของ อุรุกวัย ด้วยราคา 3 ล้านยูโรในปี 2020
มีนักเตะอเมริกาใต้มากมายมาที่นี้ และมากกว่าครึ่งถูกจัดว่าเป็นของปลอมและโดนเขี่ยทิ้งในไม่กี่ปี ... แต่ละปีจะมีผู้อยู่รอดไม่กี่คน และ อูการ์เต้ ในวัย 19 ปีกับ ฟามาลิเกา สอบผ่านฉลุยจากทีมวิเคราะห์และแมวมองของ สปอร์ติ้ง ลิสบอน
สิ่งที่พวกเขาชอบในตัว อูการ์เต้ ที่สุดคือ คาแร็คเตอร์ ซึ่งสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักเตะในตำแหน่งกองกลางตัวรับอย่างเขา
สร้างด้วยตัวเอง
ตอนนี้ อูการ์เต้ อายุ 23 ปี เท่านั้น แต่เรื่องราวสมัยตอนที่เล่นในโปรตุเกสของเขานั้นไม่ธรรมดา เขาคือเด็กหนุ่มที่เกิดจากครอบครัวแนอนุรักษ์นิยม และเข้มงวด มีแม่เป็นคุณครู มีพ่อเป็นพนักงานรับจ้างทั่วไป ครอบครัวของเขาไม่ได้จน แต่ก็ไม่ได้รวย นั่นทำให้หลายอย่าง มานูเอล อูการ์เต้ ต้องทำเอง โดยพ่อของเขาเล่าว่าแผลเป็นแรกในชีวิตของ อูการ์เต้ นั้นเกิดขึ้นตั้งแต่เขาอายุ 4 ขวบ นั่นคือการพยายามซ่อมรถจักรยานเอง ก่อนที่นิ้วของเขาจะเข้าไปในโซ่ จนต้องเย็บไปหลายเข็ม ... นี่คือการเริ่มต้นเรื่องเล่าของเขาที่เหมาะสม
ช่วงเวลาหลังจากนั้น เขาได้เข้าไปอยู่กับอคาเดมี่ของสโมสร เฟนิกซ์ ซึ่งเป็นทีมระดับกลางค่อนล่างของลีกสูงสุดอุรุกวัย เหตุผลที่ถูกเลือกก็เพราะเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์กว่าใครตั้งแต่ยังเด็ก โค้ชเยาวชนหลายคนแต่ละรุ่นที่ เฟนิกซ์ เล่าตรงกันว่าพวกเขาใช้งาน อูการ์เต้ ได้ไม่กี่เกมก็ต้องขยับให้เขาไปเล่นในรุ่นอายุที่สูงขึ้น ซึ่งสุดท้ายตอนที่เขาอายุ 15 ปี เขาก็ได้เล่นในทีมสำรองของ เฟนิกซ์ ที่เล่นในดิวิชั่น 6 ของประเทศ
ซึ่งแน่นอนว่ามันใช้เวลาไม่นานนัก เพราะหลังจากเล่นในดิวิชั่น 6 ไม่กี่เกม โค้ชของทีมก็โทรมาบอกข่าวดีกับพ่อของเขา คนที่โทรมาคือ มาร์เซโล รามาส โค้ชทีมเยาวชนของ เฟนิกซ์ ปลานสายพูดว่า "โรซาริโอ มาร์ติเนซ โค้ชทีมชุดใหญ่บอกว่าจะให้ มานูเอล ขึ้นไปเล่นในระดับดิวิชั่น 1"
ตอนแรก มิเกล อูการ์เต้ ผู้เป็นพ่อพยายามเถียงและบอกว่าลูกชายของเขาเพิ่งอายุ 15 ปีได้ไม่กี่วัน การไปเล่นในลีกสูงสุดจะเป็นการทำลายเขามากกว่าพัฒนาการ แต่ปลายสายบอกว่าทุกอย่างถูกตัดสินใจแล้ว มานูเอล อูการ์เต้ จะซ้อมกับทีมชุดใหญ่จนถึงเวลาที่เหมาะสม จากนี้เขาจะไม่ต้องเล่นในดิวิชั่น 6 อีกต่อไป ... ซึ่งมันก็เป็นจริงตามนั้น
เด็กอายุ 15 ปี เตะบอลกับผู้ใหญ่มันจะยากขนาดไหน ? ในปี 2016 อูการ์เต้ ในวัย 15 ปีก็ซ้อมจนพร้อมลงสนาม โค้ชส่งเขาลงและในเกมนั้นเขาทำผลงานได้แย่มาก อูการ์เต้ โทรกลับมาหาพ่อ และร้องไห้ให้พ่อฟังบอกว่า นี่คือเกมที่เขารู้สึกแย่ที่สุดในชีวิต แม้จะได้อยู่ในสนามแต่แทบไม่ได้สัมผัสบอลเลย เขาตื่นกลัว และแข็งแกร่งน้อยไป
พ่อของเขาถามว่าแล้วจะเอายังไงต่อ ? อยากจะกลับไปเล่นในดิวิชั่น 6 กับเด็กรุ่นเดียวกันแล้วค่อยเป็นค่อยไปไต่กลับมาลีกสูงสุดหรือไม่ ? ปลายสายจากเด็กวัย 15 ปี รายนี้บอกว่า "ไม่" และไม่นานหลังจากนั้นเขาก็หาทางออกของเรื่องนี้ด้วยตัวเองสำเร็จ
อูการ์เต้ ฝากตัวอยู่กินกับสตาฟฟ์โค้ชทีมชุดใหญ่ที่ชื่อว่า โรดริโก้ อาบาสกาล (ปัจจุบันมาทำงานโค้ชในโปรตุเกสแล้ว) และการมาอยู่ที่นี่จะเป็นรูปแบบบของแคมป์นรก อูการ์เต้ จะต้องทำตามที่ โรดริโก้ บอก เพื่อให้เขากลายเป็นเด็กอายุ 15 ปี ที่เล่นในระดับลีกอาชีพได้ และเขาโทรมาบอกพ่อเขาอีกครั้ง หนนี้น้ำเสียงสดใสเปลี่ยนไปจากครั้งที่แล้ว
"พ่อ ผมจะไปอยู่ที่บ้าน โรดริโก้ ผมจะต้องไปวิ่งที่สนามกีฬาเซนเทนาริโอตั้งแต่ตี 5 พอถึง 8 โมงผมจะต้องไปฝึกซ้อมกับสโมสรต่อ ผมขอให้พ่อมาหาผมตอนเที่ยงหลังจากซ้อมเสร็จ หลังจากนั้นช่วงบ่ายโมงผมจะออกวิ่งอีกครั้ง" อูการ์เต้ บอกโปรแกรมเสร็จสรรพ
พ่อของเขาถามกลับว่า "แล้วแกจะต้องวิ่งถึงกี่โมง ?"
เขาตอบทันทีว่า "5 โมงเย็น ... เราจะทำแบบนี้ 7 วันต่อสัปดาห์ไม่มีวันหยุด"
วินาทีนั้น มิเกล บอกว่าเขารู้แล้วว่าลูกชายเขาจะไม่ถอยกับเรื่องนี้ การฝึกและพัฒนาร่างกายเดินหน้าไปพร้อม ๆ กับการเรียนรู้เชิงแท็คติก ไม่นานนักเตะจากนักเตะที่แทบไม่โดนบอลเลย ก็กลายเป็นนักเตะขาประจำของทีม เฟนิกซ์ ตั้งแต่อายุ 18 ปี หนำซ้ำเขายังเปลี่ยนตำแหน่งการเล่นไปยังตำแหน่งที่ยากขึ้น โดยกุนซือของของทีมปรับเขาจากกองหน้ามาเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ
ย้ายตำแหน่งปีเดียว เขาก็ได้รับการติดต่อจาก ฟามาลิเกา และกำลังสร้างเส้นทางอาชีพของตัวเอง ตอนนั้นเขาขอให้พ่อของเขาไปอยู่ที่ โปรตุเกส ด้วย และ มิเกล ขอให้สัญญากับลูกชายว่า "ในหัวของพ่อไม่เคยคิดเรื่องลาออก พ่อทำงานที่นี่มา 15 ปีแล้ว เราจะทำยังไงถ้าเราไปที่นั่นและใช้เวลาแค่ 2 ปี และกลายเป็นผู้แพ้กลับมา"
มานูเอล อูการ์เต้ ตอบกลับว่า "ใจเย็น ๆ น่าพ่อ จากนี้ไปผมจะเดินหน้าอย่างเดียวเท่านั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น" ... จากนั้นการเดินทางของเขาจึงเริ่มขึ้นที่โปรตุเกส จาก ฟามาลิเกา สู่ สปอร์ติ้ง ลิสบอน, จาก สปอร์ติ้ง สู่ เปแอสเช ทุกก้าวใหญ่และท้าทายขึ้นเรื่อย ๆ คำถามคือ เขาคนนี้มีดีอะไรกันแน่ ?
กลางรับแบบใด ?
จากตัวแทนของ ปาลินญ่า สู่นักเตะที่ เปแอสเช จ่ายถึง 60 ล้านยูโร คว้าตัวไปร่วมทีมในซีซั่นที่ผ่านมา และตอนนี้กำลังมีข่าวกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งกำลังมองหามิดฟิลด์เบอร์ 6 มาแทน คาเซมิโร่ ... บังเอิญเหลือเกินว่าตอนที่เล่นในโปรตุเกส อูการ์เต้ ก็ได้ฉายาว่า "คาเซมิโร่ อุรุกวัย" เหมือนกัน
โดยในฤดูกาลสุดท้ายของเขากับ สปอร์ติ้ง นั้น อูการ์เต้ เข้าแท็คเกิลทั้งหมด 120 ครั้ง ถือเป็นจำนวนมากที่สุดในลีก และยังเป็นนักเตะที่แย่งบอลจากแดนกลางได้มากที่สุดในลีกที่ 148 ครั้ง ส่วนการแย่งบอลแดนบนก็ติด 10 อันดับแรกของลีกโปรตุเกสด้วย
จากสถิติดูเหมือนว่าเขาจะเป็นสายเข้าปะทะมากกว่า สายคุมเกม เพราะสถิติการจ่ายบอลของเขาอยู่ที่ 91.76% จากการลงเล่น 2,368 นาที ตลอดซีซั่นพลาดเกมไปเพียง 2 นัด โดยแบ่งเป็นบาดเจ็บ 1 นัด และติดโทษแบนอีก 1 นัด
ขณะที่กับ เปแอสเช ที่ไมได้เป็นตัวจริงมากนัก แต่ อูการ์เต้ ก็มีสถิติการแท็คเกิลทั้งหมด 98 ครั้ง มากที่สุดในลีกเอิง สถิติดังกล่าวถือว่ามีคนเหนือกว่าเขาแค่ไม่กี่คน โดยนักเตะที่เข้าปะทะได้มากกว่า 90 ครั้ง 2 ฤดูกาลติดต่อกันมีเพียงคนเดียวเท่านั้นคือ เจา ปาลินญ่า ซึ่งการแย่งบอลคือมิติที่หลายคนยืนยันว่าเป็นจุดเด่นของเขาโดย หลุยส์ เอ็นริเก้ กุนซือของ เปแอสเช พูดถึงเขาว่า "อูการ์เต้ เป็นนักเตะที่เชี่ยวชาญเรื่องการขโมยบอลเป็นพิเศษ"
ไม่ใช่แค่ เอ็นริเก้ เท่านั้น คนที่เคยร่วมงานกับเขาพูดตรงกันเกือบหมด โดย ลูก้า แอร์กน็องเดซ กองหลังของ เปแอสเช ก็บอกว่า อูการ์เต้ มีส่วนที่คล้ายกับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ขณะที่ ฮวน รามอส การ์ราสโก้ อดีตโค้ชของทีมเฟนิกซ์ ก็เปรียบเทียบ อูการ์เต้ ว่าเหมือนกับคนที่มี 7 ปอด วิ่งไม่เคยหยุด วิ่งได้ทั้งวัน
1
แน่นอนว่า ยูไนเต็ด ต้องการนักเตะที่เป็นฝ่ายแย่งบอลมาให้ทีม เนื่องจากเป็นนักเตะในแบบที่พวกเขาขาด และทำให้ทีมไร้สมดุล โดนยิงประตูง่าย และเสียประตูไปมากมายในซีซั่นที่แล้ว ดังนั้นการมาของมิดฟิลด์ที่เป็นเชิงรับเป็นหลักอย่าง อูการ์เต้ จะอุดรอยรั่วได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ยังมีทักษะเรื่องการอ่านเกมด้วย โดยสำนักข่าวอย่าง สกาย สปอร์ต เอาสถิติมากางและพบว่า อูการ์เต้ คาดการณ์สถานการณ์ล่วงหน้าได้ดี เอาชนะการดวลได้บ่อยครั้งเพราะมีทักษะการครองบอลที่ดีมาจากการเป็นกองหน้าเก่า และเมื่อเทียบสถิติทุก ๆ อย่างทั้งรับและรุกกับ คาเซมิโร่ ในปีที่แล้ว อูการ์เต้ เหนือกว่าทุก ๆ ด้าน
ด้วยทัศนคติที่กระหายอยากจะพัฒนา บวกกับสถิติที่ยืนยันได้ในระดับหนึ่ง และช่วงวัยเพียง 23 ปี มานูเอล อูการ์เต้ ดูจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม หากพวกเขาอยากจะหาใครสักคนมาเป็นผู้ปัดป้องก่อนถึงพื้นที่สุดท้ายของฝั่งตัวเอง ... ต่อจากนี้ก็เหลือเพียงว่าดีลนี้จะจบลงอย่างไรกันแน่ ? อีกไม่นานเกินรอ เพราะซีซั่นใหม่ ใกล้เข้ามาแล้ว
บทความโดย : ชยันธร ใจมูล
โฆษณา