25 ก.ค. เวลา 13:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

สรุปประเด็นสำคัญจากงานสัมมนา SCB PRIVATE BANKING และ SCB FIRST Investment Outlook 2024

ในหัวข้อ NAVIGATING THE INVESTMENT WORLD WITH DIGITAL AI เมื่อวันที่ 9 และ 10 ก.ค. 67
SCB FIRST Investment Outlook 2024
สรุปเศรษฐกิจโลก ฟ้ายังเปิด แต่ลมความเสี่ยงยังแรง
 
> เศรษฐกิจโลกปีนี้ คาดเติบโต 2.7% ดีกว่าที่คาดไว้ 2.6% เติบโตจากเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ได้แก่ สหรัฐฯ จีน และอินเดีย
> ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ จะทำให้ประเทศต่างๆ ค้าขายกันน้อยลง หันมาผลิตและค้าขายด้วยตัวเองมากขึ้น (decoupling) ปริมาณการค้าโลกจะย่อตัวลงเรื่อยๆ การเลือกซื้อสินค้าจากผู้ผลิตราคาถูกที่สุดจะไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป แต่อยู่ที่จะซื้อกับใคร เป็นพวกเดียวกันหรือไม่
เศรษฐกิจสหรัฐฯ
> ยังเข้มแข็งทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยปีนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะ soft landing แล้ว
เศรษฐกิจจีน
> มีปัญหาเชิงโครงสร้าง เพราะผูกตัวเองกับการค้าโลก แต่มาวันนี้ถูกกีดกันมากขึ้น ส่วนในประเทศ เคยเน้นลงทุนพัฒนาเมือง แต่วันนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์มีปัญหาเหลือขายมาก ขณะที่การกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศก็ไม่ง่าย ส่วนที่ภาครัฐลงทุนโครงสร้างพื้นฐานก็มากเกินความต้องการแล้ว
> สิ่งที่จีนทำอยู่ คือ ลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น เทคโนโลยี และธุรกิจสีเขียว แล้วส่งออกไปต่างประเทศมากขึ้น ทำให้ประเทศต่างๆ ออกมาปกป้องการนำเข้าจากจีน
> โดยรวมเศรษฐกิจจีนดีในระยะสั้น แต่ระยะยาวคงเติบโต 8-9% แบบเดิมไม่ได้แล้ว อาจเติบโตไม่ถึง 5% เน้นการเติบโตคุณภาพ ไม่หวือหวา
เศรษฐกิจไทย เติบโตช้า เปราะบาง และไม่แน่นอน
> SCB EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทย ล่าสุดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตเหลือ 2.5%
> รายได้ท่องเที่ยวฟื้นตัวใกล้เคียงช่วงก่อนโควิด นักท่องเที่ยวจีนกลับมามากขึ้น จังหวัดเมืองรองมีแนวโน้มได้รับความสนใจมากขึ้นจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ
> ภาคบริการไปได้ต่อ แต่ ภาคส่งออกน่ากังวล เพราะขยายตัวช้ากว่าโลกมาโดยตลอด จากสินค้าที่ไทยเน้นส่งออกส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ตลาดโลกค้าขายกันน้อยลง
 
> ภาคครัวเรือนไทย มีความเปราะบางมากขึ้น กลุ่มรายได้ไม่พอกับรายจ่ายมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงมากขึ้น
> แนวโน้มเศรษฐกิจไทยอาจจะหมุนลงได้เร็วกว่าที่คาดไว้ ทำให้ คาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดดอกเบี้ยปลายปีนี้ 1 ครั้ง และปีหน้าอีก 1 ครั้ง
SCB FIRST Investment Outlook 2024
> สิ่งที่ทำให้ AI แตกต่างจากโปรแกรมในอดีตคือ หากป้อนตัวอย่างให้ AI มากเพียงพอ ก็จะเรียนรู้ได้เอง และอาจมีความสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้มากกว่ามนุษย์
 
> จุดเปลี่ยนของกระแส AI คือ การมาของ Generative AI ที่ทำให้คนเห็นกับตาว่า AI มีประโยชน์มาก และความก้าวหน้าของ AI เป็นไปอย่างรวดเร็ว
> ภายในสิ้นปีนี้ คาดว่า จะมีผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าสามารถตอบโต้ได้โดยตรงกับ Large Language Model (LLM) ซึ่งเป็นโมเดลการประมวลผลพื้นฐานของ Generative AI แต่อาจจะยังอยู่ในวงจำกัด
> ปี 2026 AI จะถูกนำมาใช้ในวงกว้างขึ้น และน่าจะถึงจุดที่ทำให้เกิดความพึงพอใจได้เทียบเท่ากับความพึงพอใจในบริการของมนุษย์
> ปัจจุบันมีบริษัทในวงการ AI มากพอสมควร แต่บริษัทที่มีความโดดเด่น ได้แก่ NVIDIA, databricks, ANTHROPIC, TSMC, OpenAI
> AI จะฉลาดหรือไม่ อยู่ที่ข้อมูลที่ป้อนเข้าไปว่าดีหรือไม่ดี
> ปัญหาที่ AI ทำอะไรไม่ถูกต้อง หลักๆ มาจากโมเดลได้รับการป้อนข้อมูลที่ผิด
> SCB จะเป็น AI First Bank นำ AI มาใช้หลากหลายรูปแบบ โดยเราตั้งเป้าหมายให้รายได้ 25% เป็นรายได้จากช่องทางดิจิทัลในปี 2025
SCB FIRST Investment Outlook 2024
> เศรษฐกิจโลกเติบโตดีกว่าคาด แต่การค้าโลกเป็นความเสี่ยง ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยุโรป จีน และอินเดีย ดูดีขึ้น
> เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตด้วยการบริโภคในประเทศ การลงทุน AI และการประยุกต์ใช้ AI ที่สูงขึ้น เงินเฟ้อลดลงแล้ว แต่ยังไม่ใช่จุดสบายใจ ทำให้มองไปข้างหน้าดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง แต่ไม่เร็ว
> การเลือกตั้งสหรัฐฯ นโยบายของ 2 ฝั่งคล้ายกัน คือ คว่ำบาตรจีน หากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี อาจทำให้บริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ มีผลประกอบการดีขึ้นจากนโยบายลดภาษีเงินได้ แต่จากการที่ไปกีดกันการค้าประเทศอื่นมากขึ้น อาจทำให้บริษัทเทคโนโลยีรับผลกระทบจากการตอบโต้ทางการค้าของประเทศอื่น
> เศรษฐกิจจีนปีนี้ เติบโตดีกว่าคาด มีการปรับตัวส่งออกไปยังประเทศกลุ่ม BRIC แต่มีข้อจำกัดทำให้เติบโตมากกว่า 5% ได้ยากจากการค้าและภาคอสังหาริมทรัพย์
 
> เศรษฐกิจไทย ยังมีอุตสาหกรรมส่วนใหญ่เป็น old economy ที่ไม่เป็นไปตามความต้องการของตลาดโลก ทำให้กำไรต่อหุ้น (EPS) และผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ไปไหนได้ไม่ไกล
> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอินเดีย เริ่มแพง แต่มองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ช่วงแรกปรับขึ้นจาก Sentiment AI ขณะที่หลังจากนี้จะปรับขึ้นได้จากผลประกอบการที่ออกมาเติบโต
> ตลาดหุ้นที่ถูกและดี คือ
> ตลาดหุ้นยุโรป ซึ่ง Valuation น่าสนใจ จากเงินยูโรอ่อนค่าและแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของยุโรปที่มากกว่าสหรัฐฯ
> ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ มีหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ และเทคโนโลยีอยู่มาก ซึ่งกลุ่มนี้ได้อานิสงส์จากวัฎจักรการส่งออกฟื้นตัว
> ตลาดหุ้นเวียดนาม จากเศรษฐกิจเข้ากันได้ทั้งฝั่งสหรัฐฯ และจีน อีกทั้งเป็นประเทศที่ประชากรวัยหนุ่มสาวมาก ขณะที่ Valuation ถูก ผลประกอบการดี
> ทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่เรามองว่ามีโอกาสปรับขึ้นระยะยาว
> แนะนำแบ่งพอร์ตลงทุนเป็น 2 ส่วน กรณีรับความเสี่ยงได้ระดับปานกลางค่อนข้างสูง
1. พอร์ตระยะยาว 1-3 ปี สำหรับเงินลงทุน > 50-70% ลงทุนเน้น 3 วัตถุประสงค์ ได้แก่ 1. สร้างกระแสเงิน ผ่านการลงทุนหุ้นกู้เอกชนชั้นดี Rating สูง หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ (Perpetual Bond)* และ Senior Loan ที่มีหลักประกัน 2. เพื่อการเติบโต ลงทุนกองทุนผสม ที่มีผู้จัดการกองทุนดูแล เช่น SCBGA(A) ลงทุนหุ้น Quality Growth เช่น หุ้นสหรัฐฯ ลงทุนหุ้นไทย แต่มีติดพอร์ตน้อยลง เน้นคัดเลือกหุ้นมากขึ้น 3. ปกป้องความเสี่ยงขาลง เช่น ทองคำ
2. พอร์ตระยะสั้น น้อยกว่า 1 ปี สัดส่วนไม่ควรเกิน 30% ตามความเสี่ยงที่รับได้ โดยปัจจุบันแนะนำ ตลาดหุ้นยุโรป ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ตลาดหุ้นเวียดนาม และตลาดหุ้นจีน H-Share
- การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
- * การลงทุนในผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีความซับซ้อนมีความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ทั่วไป ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากธนาคารก่อนทำการลงทุน”
- กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Global Allocation ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง
สามารถศึกษาข้อมูลหนังสือชี้ชวนที่ https://www.scbam.com/th/fund/foreign-investment-fund/fund-information/scbgaa
SCB FIRST Investment Outlook 2024
> ผลตอบแทนหุ้นเทคโนโลยีปรับขึ้นพร้อมกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะแรก แต่หลังการมาของ Generative AI ก็ทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI ปรับขึ้นโดดเด่น ซึ่งคาดว่าเทรนด์การปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นยังสามารถคาดหวังได้ แต่จะเริ่มขึ้นอยู่กับแนวโน้มกำไรมากกว่าการเพิ่มขึ้นของ Valuation
> เราเข้าใกล้จุดตัดสินใจของแนวโน้มการลงทุนใน AI แล้ว การปรับตัวของหุ้น AI จะค่อยๆ แตกต่างกันออกไป โดยหุ้น AI ที่มาพร้อมรายได้และกำไรจะเป็นที่น่าสนใจและปลอดภัยกว่า
> ในอดีตวัฏจักรของกลุ่มหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ขาขึ้น จะมีค่าเฉลี่ย 32 เดือน ซึ่งปัจจุบันวัฏจักรขาขึ้นที่มาจาก Gen AI เพิ่งผ่านมาได้ 8 เดือนเท่านั้น จึงคาดว่ายังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องไปจนถึงในปี 2025 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการปรับตัวของบริษัทเป็นหลัก
> บริษัทใน S&P500 50% มี 41% พูดถึงการใช้ AI แม้แต่หุ้นพลังงาน สะท้อนว่าบริษัทต่างประเทศตื่นตัวกับการใช้ AI มาก
> วัฏจักรหุ้นกลุ่ม AI ที่เติบโตระยะแรก คือ AI Infrastructure เช่น ชิป ซึ่งราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยไปแล้วพอสมควร เรากำลังเข้าสู่วัฏจักรหุ้นกลุ่ม AI ระยะที่ 2 คือ AI Enable เป็นกลุ่มบริษัทที่นำ AI มาให้เราได้ใช้แล้วเก็บเงินค่าบริการเช่น Software ต่อไปกลุ่มนี้อาจเติบโตได้ 3 เท่า เทียบกับ AI Infrastructure ขณะที่ วัฏจักรหุ้นกลุ่ม AI ระยะถัดไปที่จะมา คือ AI Productivity แต่การเปลี่ยนไปสู่ระยะนี้อาจค่อนข้างช้าและใช้เวลานาน
> หุ้นต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับกระแส AI ที่น่าสนใจ ได้แก่ TSMC, ARM Holding, SK Hynik, Microsoft / Google, Palo Alto Network / CrowdStrike
> หุ้นในประเทศที่เกี่ยวข้องกับกระแส AI แต่อาจจะมาช้ากว่าต่างประเทศ ได้แก่ Delta Electronics, Hana Microelectronics, nForce Secure, I&I Group / Beryl&Plus, ADVANC / TRUE
> หากผู้ลงทุนไม่ต้องการลงทุนหุ้นรายตัวโดยตรง ก็มีทางเลือกอื่นที่หาผลตอบแทนได้ เช่น Structure Noted* : KIKO ที่อ้างอิงหุ้นต่างประเทศ หรือ กลุ่มที่ป้องกันเงินต้น
- การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
- * การลงทุนในผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีความซับซ้อนมีความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ทั่วไป ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากธนาคารก่อนทำการลงทุน”
- หากผู้ลงทุนสนใจลงทุนในตราสารทุน สามารถติดต่อรับบริการและคำแนะนำเพิ่มเติมจากบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์
โฆษณา