7 ก.ย. เวลา 00:00 • หนังสือ

บทความ Blockdit ตอน เสืออยู่ในห้อง (4) ตื่นรู้ ปล่อยวาง

จะรักษาจิตตก ก็ต้องเข้าใจโครงสร้างของจิตตก
เริ่มที่ชำแหละกระบวนการที่ทำให้เราจิตตก เมื่อผ่าตัดสิ่งที่เรียกว่าจิตตก จะพบว่ามันประกอบด้วยสองส่วนคือ ความคิด (thought) กับความรู้สึก (emotion) เสมอ สองอย่างนี้มาคู่กัน ถ้าเชื่อมกันโดยตัวมันเอง ก็เกิดอารมณ์ ถ้าเกิดอารมณ์บวกก็ไม่เป็นไร (เช่นนึกถึงอดีตครั้งที่สาวสวยช่วยกางร่มให้กลางสายฝน ทำให้หัวใจชุ่มชื่น)ที่เป็นปัญหาคือการปรุงแต่งเป็นอารมณ์ลบ
การระวังตามทันความคิดจึงเป็นขั้นแรก เพื่อไม่ปล่อยให้ความคิดปรุงเป็นอารมณ์
พูดง่ายๆ คือไม่ปล่อยให้ลิงแห่งความคิดไปซุกซนจนเกิดเป็นปัญหา
แน่นอน ธรรมชาติของจิตคือไม่อยู่นิ่ง เหมือนลิง
เมื่อความคิดใดเกิดขึ้นตามธรรมชาติของ ‘ลิง’ เราก็เฝ้าดูมัน ระวังอย่าให้มันปรุงแต่งเป็นอารมณ์ หรือตามทันหากมันปรุงแต่งเป็นอารมณ์
1
บางครั้งจิตหลุดเขวออกไปที ก็ให้รู้ตัวแล้วค่อยๆ รั้งมันกลับมา เหมือนการดึงว่าวกลางสายลม แต่อย่าดึงแรง เชือกอาจขาด
แล้วเราจะทำอย่างไรเมื่อจิตเผลอจนตกไปแล้ว คือลิงทำของแตกเรียบร้อยแล้ว?
4
ก็เฝ้าดูอารมณ์ลบนั้นเรื่อยๆ จนมันหายไป ตามหลัก “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป” ซึ่งก็เป็นวิทยาศาสตร์เช่นกัน เพราะสรรพสิ่งจะเสื่อมหายไปตาม entropy ไม่มีสิ่งใดอยู่ตลอดกาล แม้แต่ทุกข์ก็เป็นมายา
ทางเต๋าก็สอนเรื่องนี้ เล่าจื๊อสอนว่า หากเราอดทนพอ น้ำโคลนจะตกตะกอนและน้ำก็จะใส
ช่วงเวลาที่เราเฝ้าดูตะกอนนอนก้นนั้นจะรู้สึกว่ายาวนานมาก แต่กลั้นใจ อดทนสักนิด ตะกอนจะนอนก้นเร็วกว่าที่คิด ยิ่งฝึกบ่อยยิ่งนอนก้นเร็ว
1
นี่บอกเราว่า ไม่ต้องพยายามดิ้นรนหนีภาวะจิตตก รอรับมันซึ่งหน้าเลย แล้วเฝ้ามองมันสลายตัวไปต่อหน้าต่อตาเราเอง
1
เพราะทุกอย่างในจักรวาล ไม่ว่าเรื่องดีหรือไม่ดี อยู่ในกฎของความเสื่อม แม้แต่ความรู้สึกลบก็ไม่อยู่ตลอดกาล
อลัน วัตต์ส บอกว่า เราอนุญาตให้จิตเราเงียบลงดีไหม “Leave your mind alone.” แต่เรื่องนี้ไม่ง่ายเท่าไร เพราะจิตเราเหมือนลิง ไม่นิ่ง แต่มันจะสงบเองได้ แต่เราแค่เฝ้าดูมันเฉยๆ
1
จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมรู้สึกว่าการเจริญสติรับรู้ว่า “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป” ช่วยได้ดีทีเดียว
อยู่กับความรู้สึกเลวร้ายนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ อย่าหนีเด็ดขาด
ถือหลักของจักรวาลคือ ไม่มีอะไรที่อยู่ตลอดกาล แม้แต่ความทุกข์
ถ้าอดทนช่วงที่ทุกข์ทรมานสักหน่อย มันจะหายไปเอง
นักจิตวิทยา Eckhart Tolle มีอุบายแก้จิตตกสองข้อ ซึ่งก็คือหลักพุทธนั่นเอง แต่อธิบายเป็นขั้นตอนคือ awareness (ตามทันและรับรู้) กับ take over (ค่อยๆ
ยึดครองพื้นที่)
2
ตามทันและรับรู้ (awareness) คือตามทันรู้ทันความคิดและจิตเราเป็นอย่างไร
เช่น เมื่อกลัวก็รู้ว่ากำลังกลัวนะ เมื่อวิตกก็รู้ว่ากำลังวิตกนะ ตามจิตทันตลอด เราอาจเผลอจมวูบในหล่มของอารมณ์ด้านลบ แต่ให้ตามความรู้สึกนั้นให้ทัน และยอมรับความรู้สึกไม่สบายนั้น ยอมรับสภาพอ่อนล้าเจ็บปวดทางกายนั้น ไม่ต้องต้านหรือข่ม แต่ตามทันและยอมรับ
อย่าพยายามหยุดคิด เราหยุดคิดไม่ได้หรอก แต่เราตามมันทันพอได้
ส่วนการ take over คือค่อยๆ ยึดครองพื้นที่อารมณ์ด้านลบนั้น โดยแทนที่มันด้วยการรับรู้ (awareness)
3
เหมือนการกำจัดต้นไม้ใหญ่ที่ล้มขวางทาง ยกมันออกไปทีเดียวไม่ได้ เพราะมันใหญ่เกินไป ให้ตัดลิดกิ่งออกไปทีละน้อยจนหมด
1
อย่าเพิ่งแทนที่อารมณ์ด้านลบด้วยความคิดเชิงบวกทันที เพราะมันแทบเป็นไปไม่ได้ที่ทำให้ความคิดเราเชื่อว่า เราไม่เป็นไร เราสบ๊ายสบาย
2
เพราะเราไม่สบาย
แค่รับรู้ อยู่กับปัจจุบันขณะ เพราะช่วงที่เราจมในอารมณ์ด้านลบ เราปล่อยจิตไปอยู่ในอนาคต ดึงกลับมาในปัจจุบันขณะเสีย
เมื่อดึงความคิดกลับมาอยู่ในปัจจุบัน จะพบว่าไม่มีเสืออยู่ในห้อง
เราเป็นคนสร้างเสือขึ้นมาเอง เสือก็คืออดีตหรืออนาคต เมื่อกลับมาอยู่ในปัจจุบัน เสือก็หายไป
บางชั่ววูบเมื่อขาดสติ เรามักหวนไปหาอนาคตหรืออดีต ก็พยายามดึงกลับมาสู่ปัจจุบัน
4
การเจริญสติก็เหมือนเราขับรถไล่ล่ารถคันหน้าไป ติดๆ มันวิ่งไปไหน เราจ่อติดมันตลอด รถคันหน้าทะยานข้ามเหว เราก็ข้ามเหวทัน
มันขึ้นเขาลงห้วย เราก็ตามทัน
รถคันหน้าคือใจของเรา รถคันหลังคือสติของเรา
ตามลมหายใจทัน ตามความคิดทัน
บอกกับตัวเองเป็นระยะว่า “มึงไปไหน กูไปด้วย”
1
เพราะถ้าทำประจำ โอกาสเกิดวันเศร้าหมองหม่นมืดก็น้อยลง
กระบวนนี้อาจสรุปเป็นสองคำคือ ‘ตื่นรู้’ และ ‘ปล่อยวาง’
ตื่นรู้คือการใช้สติกำกับ รู้ว่าเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาแล้ว รู้และตามทันความคิดที่กำลังถูกปรุงแต่งเป็นอารมณ์ เฝ้าดูอารมณ์ และปล่อยให้อารมณ์นั้นดับไป
ตื่นรู้คือเข้าใจและตามทันร่างกาย เข้าใจว่าเมื่อไรควรพัก เมื่อไรควรนอน เมื่อไรควรเติมสารเคมีดีๆ เข้าไป
ส่วนปล่อยวางคือการไม่แบกทุกอย่าง ยอมๆ เสียบ้าง มองโลกขำๆ บ้าง ลดการใส่ขยะในหัว ลดการเสือกเรื่องชาวบ้านลง หัดรู้จัก “ช่างแม่ง!” บ้าง เมื่อปล่อยได้ ละได้ ตัวก็เบาขึ้น ใจก็เบาขึ้น
1
ความรู้สึกลบ เช่น ความกลัว ฯลฯ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และจะดับไปแน่นอน แค่รับรู้รับทราบ แล้วเฝ้ามองมันดับไป แล้วแทนที่มันด้วยความรู้สึกหรือความคิดเชิงบวก
ก็คือการเติมน้ำใสเข้าไปในหัวใจ
2 เติมน้ำดีใสสะอาดเข้าไปทีละนิด
เรารู้ว่า panic attack เป็น perceived danger เราก็อาจทำกลับกัน โดยนึกถึง perceived happiness เช่นนึกถึงเรื่องดีๆ มีความสุขที่เคยเกิดขึ้นมา
นี่ก็เป็นเหมือนการดูหนังฟังเพลงที่ไพเราะ เป็น therapy อย่างหนึ่ง
เติมน้ำดีเข้าไปในหัวใจอาจเป็นการคิดเรื่องดีๆ ความทรงจำที่ดี มันช่วยให้สมองเบิกบาน
ใจเราก็เหมือนถ้วยน้ำ ภายในมีน้ำเน่าเยอะ แต่เราเทมันออกไม่ได้ ทางแก้ก็คือเติมน้ำใสสะอาดเข้าไปแทนที่ทีละนิดๆ จนในที่สุดถ้วยใจของเราก็ใสขึ้น ไม่เน่าจนส่งกลิ่น
บางครั้งน้ำใสก็คือความเข้าใจเรื่องโลกและจักรวาล รู้และเข้าใจว่าเรามาดำรงอยู่บนโลกชั่วคราว (ศัพท์เรียก transience)
ไม่ว่าใหญ่มาจากไหน ก็ตายทั้งนั้น ราชาหรือยาจก เหมือนกัน เราอยู่ในโลกสั้นๆ ไยวิตก?
ดังที่มีคนกล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกที่ดำรงอยู่นิรันดร์ ดังนั้นไม่มีสิ่งใดในโลกที่คุ้มค่าให้วิตก
ความเข้าใจก็ทำให้เกิดความแจ่มแจ้ง
และถือว่าเป็นน้ำดีใส่ใจอย่างหนึ่ง
ดังนั้นเครียดไปทำไม? ใช้ชีวิตชั่วขณะนี้ ในมุมนี้ของจักรวาลอย่างเข้าใจ
มันมีทั้งเรื่องดีและไม่ค่อยดี เราเพียงอย่าทำให้เสือในห้องโตกว่าที่เป็นอยู่ อย่าทำเรื่องไม่ค่อยดีให้เลวร้ายกว่าที่เป็น
หลวงพ่อชาสอนให้เจริญสติ มีสติกำกับทุกเรื่องที่ทำทั้งวัน แม้แต่การทำงาน
1
การเจริญสติไม่จำเป็นต้องทำตอนนั่งสมาธิในวัดหรือห้องเงียบๆ เพราะการเจริญสติไม่ได้อยู่ภายนอก หากอยู่ภายใน และไม่ได้จำกัดในทางศาสนา
เราสามารถเจริญสติแม้ขณะทำงานหรือออกแรง หรือออกกำลังกาย ความจริงการออกกำลังกายกับการเจริญสติเป็นการขับคู่กันที่ดี
2
เพราะการจดจ่อจิตไปที่งานคือการทำสมาธิอย่าง หนึ่งช่วยให้จิตไม่ฟุ้งซ่าน ส่วนการออกกำลังกายเพิ่มสารเคมีที่ดีในสมอง ทำให้อารมณ์ดีขึ้น ดังนั้นทั้งการออกแรงและทำสมาธิสร้างสารเคมีที่ดีในสมอง
สติเป็นเครื่องมือเดียวที่ธรรมชาติสร้างติดตัวเรามา เพื่อให้เราอยู่รอด ถ้าไม่มีสติ เจอสิงโตกลางทุ่ง ก็คงทำอะไรไม่ถูก และป่านนี้สายพันธุ์มนุษย์อาจสูญพันธุ์ไปแล้ว
1
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใช้สมองไม่เพียงเอาตัวรอด แต่ใช้มันแสวงหาหนทางลดทุกข์ด้วย ปราศจากการเจริญสติเราจะเข้าใจและวิเคราะห์เรื่องต่างๆ ได้อย่างไร ปราศจากการเจริญสติ เราจะปล่อยวางทุกข์ได้อย่างไร
เหมือนเราเดินไปในดงยุง ก็โดนกัดบ้าง ไล่ยุงไปหมดไม่ได้ แต่พอจะชโลมตัวด้วยน้ำมันบางอย่างได้ น้ำมันนั้นก็คือสติ
3
คนมีสติมีความสุขง่ายกว่าคนไร้สติ เพราะไม่หลุดหายไปในกระแสอารมณ์ได้ง่าย เพราะเมื่อสติดี จิตก็ดี ความสุขก็เกิดง่ายขึ้น
โลกวันนี้เต็มไปด้วยสิ่งเร้า ทำให้เราขาดสติไปง่ายเหลือเกิน
เผลอนิดเดียวออกจากภาวะรู้ตัว สู่โหมดสับสนหงุดหงิดง่าย โกรธง่าย แล้วปิศาจที่สิงอยู่ก็ทำหน้าที่แทนเรา
การเจริญสติจึงสำคัญระดับซูเปอร์อภิมหาสำคัญ
ข้อดีของการรักษาสติคือ ถ้าตามจิตของตัวเองให้ทัน จะโกรธยากขึ้น จิตตกน้อยลง เพราะตามทัน
สำหรับคนที่จิตตกบ่อย มันก็ช่วยลดการเกิดอาการจิตตก หรือหากเผลอจิตตก ก็สามารถช่วยลดระยะเวลาการฟื้นตัวของจิต
คนที่จิตตกง่ายอาจจะไม่หายขาด แต่ก็เหมือนโรคหวัด เราอยู่กับมันได้ ทำความเข้าใจกับสมองและร่างกายของตนเอง ดูแลกายภาพและจิต ทางกายคือกินอาหารให้ถูก นอนให้พอ ออกกำลังกายมากพอ ทางใจคือตื่นรู้และปล่อยวาง ทำได้อย่างนี้ จิตตกก็จะลดลง
3
การเจริญสติเป็นเครื่องมือที่ดี แต่ไม่ใช่ทำได้แบบกดปุ่มทันที ต้องฝึกจนคุมเครื่องมือนี้ได้
1
ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ แต่จากตัวอย่างมากมาย นี่ยังคงเป็นเครื่องมือจัดการจิตตกได้ทรงพลัง
1
สิ่งที่เล่ามาทั้งหมดเป็นการแชร์ประสบการณ์ตรงของผม มันอาจไม่เหมาะกับคนที่อาการหนักกว่านี้ และต้องพึ่งยา
แต่อาจจะลองดูได้ เพราะทั้งหมดนี้เน้นที่จิต ไม่ใช้ยา
ต่อให้เป็นคนธรรมดาที่จิตแจ่มใสยิ้มระรื่นได้ทั้งวัน ฝึกจิตไว้ก็ไม่มีอะไรเสียหาย สติบำบัดเป็นเรื่องที่ดีกับทุกคนอยู่แล้ว
4
อย่าแบกโลกนานไป อย่าปล่อยให้ตัวเองเหนื่อยนานไป
Don’t worry, be happy.
1
เพราะเดี๋ยวก็ตายแล้ว
อย่างที่นักเขียน ไอแซค อสิมอฟ ว่า “พยายามเอนจอยชีวิตที่เหลืออยู่เถอะนะ”
โฆษณา