25 ก.ค. เวลา 15:18 • นิยาย เรื่องสั้น

"บทเรียนสุดท้าย"

ณ วัดป่าแห่งหนึ่ง หลวงพ่อชราภาพนั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่หน้ากุฏิ ท่ามกลางลูกศิษย์ที่มาเยี่ยมเยียน ท่านเป็นพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านวิปัสสนากรรมฐาน ผู้คนต่างเลื่อมใสศรัทธา
"หลวงพ่อครับ" ลูกศิษย์คนหนึ่งเอ่ยถาม "ทำไมหลวงพ่อถึงไม่ยอมเข้าโรงพยาบาลล่ะครับ ทั้งที่อาการป่วยหนักขนาดนี้"
หลวงพ่อยิ้มบางๆ ก่อนตอบ "โยมเอ๋ย ร่างกายนี้มันก็แค่ธาตุสี่ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มาประชุมกันชั่วคราว เราเพียงแค่มาอาศัยมันอยู่ เมื่อถึงเวลา มันก็ต้องแตกสลายไป จะไปยื้อให้เหนื่อยทำไม"
ลูกศิษย์อีกคนเอ่ยขึ้น "แต่หลวงพ่อมีความรู้ความสามารถมากมาย ยังช่วยคนได้อีกเยอะนะครับ"
หลวงพ่อหัวเราะเบาๆ "เก่งแค่ไหนก็ตายอยู่ดีนั่นแหละโยม ไม่มีใครหนีความตายพ้นหรอก ดูอย่างพระพุทธเจ้าสิ ท่านยังนิพพานเลย"
"แล้วหลวงพ่อไม่กลัวตายเลยหรือครับ?" อีกคนถาม
"กลัวทำไมล่ะ" หลวงพ่อตอบ "เรามาตัวเปล่า ก็ไปตัวเปล่า เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง นอกจากบุญและบาปที่ทำเอาไว้"
ลูกศิษย์ทั้งหลายพากันนั่งฟังด้วยความสงบ หลวงพ่อมองดูทุกคนด้วยสายตาเมตตาก่อนจะกล่าวต่อ
"โยมทั้งหลาย จงอย่ายึดติดกับร่างกายนี้มากนัก มันเป็นเพียงที่พักชั่วคราว จงใช้มันให้เป็นประโยชน์ ทำความดี ละเว้นความชั่ว ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ นั่นแหละคือสิ่งที่จะติดตัวเราไปได้จริงๆ"
ขณะที่หลวงพ่อพูดจบ ลมพัดโชยมาเบาๆ ใบไม้แห้งร่วงหล่นลงบนพื้น เป็นภาพที่สะท้อนถึงความไม่เที่ยงได้อย่างชัดเจน
"และนี่คือบทเรียนสุดท้ายที่อาตมาจะฝากไว้กับพวกเธอ" หลวงพ่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม "จงเข้าใจความไม่เที่ยง อย่ายึดมั่นถือมั่น และใช้ชีวิตที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ที่สุด"
หลังจากนั้นไม่กี่วัน หลวงพ่อก็ละสังขารอย่างสงบ ท่ามกลางความอาลัยของศิษยานุศิษย์ แต่ทุกคนต่างรู้สึกถึงความสงบในใจ เพราะได้เข้าใจถึงสัจธรรมของชีวิตผ่านบทเรียนสุดท้ายของหลวงพ่อ
ร่างกายของหลวงพ่ออาจจากไป แต่คำสอนและความดีงามของท่านยังคงอยู่ เป็นแสงสว่างนำทางให้ผู้คนได้เดินตามรอยธรรมต่อไป
ในขณะที่ผู้คนมากมายได้รับประโยชน์จากคำสอนของหลวงพ่อ มีชายคนหนึ่งชื่อนายทรัพย์ เขาเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยมหาศาล แต่กลับห่างไกลจากธรรมะ
นายทรัพย์เคยได้ยินคำสอนของหลวงพ่อผ่านทางลูกน้องที่ไปฟังธรรม แต่เขากลับหัวเราะเยาะ
"ไร้สาระ!" นายทรัพย์พูดอย่างหยิ่งผยอง "ชีวิตคือการสะสมทรัพย์สิน เงินทองคือพระเจ้า ใครว่าเอาไปไม่ได้ ดูฉันสิ มีเงินเท่าไหร่ก็ซื้อได้ทุกอย่าง!"
เขาใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย สะสมทรัพย์สมบัติมากมาย ไม่เคยสนใจเรื่องบุญกุศลหรือช่วยเหลือผู้อื่น
จนกระทั่งวันหนึ่ง นายทรัพย์ล้มป่วยหนัก แพทย์วินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคร้ายที่รักษาไม่หาย
"คุณมีเวลาเหลืออีกไม่มาก" หมอบอกเขาด้วยน้ำเสียงเศร้า
นายทรัพย์ตกใจมาก เขาพยายามใช้เงินทองมหาศาลของเขาเพื่อหาหนทางรักษา แต่ไม่มีประโยชน์ ไม่ว่าจะจ่ายเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถซื้อสุขภาพและชีวิตกลับคืนมาได้
ในคืนหนึ่งขณะที่นอนป่วยอยู่บนเตียง เขานึกถึงคำสอนของหลวงพ่อที่เคยได้ยินมา
"ร่างกายนี้มันก็แค่ธาตุสี่ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มาประชุมกันชั่วคราว... เก่งแค่ไหนก็ตายอยู่ดี... เรามาตัวเปล่า ก็ไปตัวเปล่า เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง นอกจากบุญและบาปที่ทำเอาไว้"
น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของนายทรัพย์ เขาเพิ่งเข้าใจความจริงของชีวิต ทรัพย์สมบัติมากมายที่เขาสะสมมาตลอดชีวิต กลับไม่มีความหมายอะไรเลยในยามนี้
"โง่เหลือเกิน" เขาพึมพำกับตัวเอง "ใช้เวลาทั้งชีวิตไล่ล่าสิ่งที่เอาไปไม่ได้ แทนที่จะสร้างความดีและช่วยเหลือผู้อื่น"
ในวาระสุดท้ายของชีวิต นายทรัพย์ตัดสินใจบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดของเขาให้กับมูลนิธิการกุศลต่างๆ เขาใช้เวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดนั้นในการทำความดี ช่วยเหลือผู้อื่น และศึกษาธรรมะ
แม้ว่าร่างกายของเขาจะอ่อนแอลงทุกวัน แต่จิตใจของเขากลับเข้มแข็งและสงบนิ่งมากขึ้น เขาเข้าใจแล้วว่าความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การสะสมทรัพย์สิน แต่อยู่ที่การทำความดีและการมีจิตใจที่สงบ
ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต นายทรัพย์ยิ้มอย่างสงบ เขาเข้าใจแล้วว่าแม้ร่างกายนี้จะดับสูญไป แต่ความดีที่เขาได้ทำในช่วงท้ายของชีวิตจะยังคงอยู่ และนี่คือสิ่งเดียวที่เขาสามารถนำติดตัวไปได้จริงๆ
เรื่องราวของนายทรัพย์กลายเป็นอุทาหรณ์สอนใจผู้คนมากมาย ให้เข้าใจถึงสัจธรรมของชีวิตและความสำคัญของการทำความดี ก่อนที่จะสายเกินไป
โฆษณา