26 ก.ค. เวลา 04:47 • ข่าวรอบโลก

๗๒ ปีแห่งมิตรภาพ ไทย-ออสเตรเลีย

ปี ๒๕๖๗ เป็นวาระครบรอบ ๗๒ ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับเครือรัฐออสเตรเลีย ซึ่งเป็นปีที่พิเศษอีกปีหนึ่งสำหรับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ สะท้อนจากความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ
โดยเมื่อวันที่ ๑๓-๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ พลเอก เดวิด เฮอร์ลีย์ (His Excellency General the Honourable David Hurley AC DSC (Retd)) ผู้สำเร็จราชการแห่งเครือรัฐออสเตรเลียเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาล พร้อมด้วยนางลินดา เฮอร์ลีย์ (Her Excellency Mrs Linda Hurley) ภริยา นับเป็นการเยือนระดับผู้สำเร็จราชการแห่งเครือรัฐออสเตรเลียครั้งแรกในรอบ ๗ ปี
ความ “พิเศษ” ของความสัมพันธ์ไทย-ออสเตรเลีย
ประเทศไทยกับเครือรัฐออสเตรเลียสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๔๙๕ โดยนับตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ฯ มีเหตุการณ์สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดในระดับสูงสุดระหว่างประเทศไทยกับเครือรัฐออสเตรเลียเรื่อยมา อาทิ การเสด็จพระราชดำเนินเยือนเครือรัฐออสเตรเลียอย่างเป็นทางการของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม - ๑๒ กันยายน ๒๕๐๕
และการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (เมื่อครั้งทรงดำรงพระราชอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร) เสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เครือรัฐออสเตรเลีย ในช่วงปี ๒๕๑๓ - ๒๕๑๙ เพื่อทรงเข้าศึกษาระดับเตรียมทหาร ณ โรงเรียนคิงส์ (King’s School) และทรงเข้าประจำเหล่านักเรียนนายร้อยที่วิทยาลัยการทหารดันทรูน (Royal Military College, Duntroon)
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับออสเตรเลียมีความใกล้ชิดจวบจนปัจจุบัน โดยในปี ๒๕๖๒ ประเทศไทยกับเครือรัฐออสเตรเลียได้ยกระดับความสัมพันธ์สู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) ทั้งสองฝ่ายจึงได้ร่วมกำหนดแนวทางการส่งเสริมและขับเคลื่อนความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
การเยือนไทยของผู้สำเร็จราชการฯ
การเยือนไทยของพลเอก เดวิด เฮอร์ลีย์ ผู้สำเร็จราชการฯ ถือเป็นการรักษาพลวัตความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับเครือรัฐออสเตรเลีย โดยการเยือนดังกล่าวมีความสำคัญต่อการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันในสามระดับ ได้แก่ ระดับสถาบันหลักของชาติ ระดับรัฐบาล และระดับประชาชน
๑. ความสัมพันธ์ระดับสถาบันหลักของชาติ
ในโอกาสการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของผู้สำเร็จราชการฯ ในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จออก ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ทรงรับผู้สำเร็จราชการฯ และภริยา เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ พระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรัชกาลปัจจุบัน
โดยที่ผู้สำเร็จราชการฯ เป็นพระสหายร่วมชั้นเรียนกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ วิทยาลัยการทหารดันทรูน กำหนดการ ณ พระบรมมหาราชวังดังกล่าว จึงเป็นที่น่าปิติยินดีและสะท้อนถึงมิตรภาพระหว่างทั้งสองประเทศที่ลึกซึ้งและยาวนาน
ด้านสถาบันศาสนา ผู้สำเร็จราชการฯ และภริยา เฝ้าสักการะสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริยนายก ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
ในโอกาสดังกล่าว สมเด็จพระสังฆราชฯ มีพระปฏิสันถารด้วยผู้สำเร็จราชการฯ โดยทรงระลึกถึงช่วงเวลาที่เสด็จประทับ ณ เครือรัฐออสเตรเลีย เพื่อปฏิบัติพระศาสนกิจ อาทิ การเป็นพระธรรมทูตไทยยุคบุกเบิก ณ วัดพุทธรังสีสแตนมอร์ นครซิดนีย์ และการอุปถัมภ์พระเจดีย์ ณ วัดธัมมธโร กรุงแคนเบอร์รา ขณะเดียวกัน ผู้สำเร็จราชการฯ ได้รับทราบเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักธรรมพระพุทธศาสนาและกล่าวยินดีกับบทบาทของพระพุทธศาสนาในเครือรัฐออสเตรเลียที่มีความแพร่หลายมากขึ้น และเป็นที่ยึดเหนี่ยวแก่ประชาชนทั้งชาวไทยและชาวออสเตรเลีย
นอกจากนี้ มิตรภาพพิเศษดังกล่าวยังสะท้อนอยู่ในเหตุการณ์สำคัญอีกเหตุการณ์หนึ่ง กล่าวคือ เมื่อปี ๒๕๖๓ สถานเอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจำประเทศไทยได้จัดทำวีดิทัศน์สารคดีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะทรงศึกษาในเครือรัฐออสเตรเลีย เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และเมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานในงานเผยแพร่วีดิทัศน์สารคดีดังกล่าว ซึ่งจัดขึ้นโดยสถานเอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจำประเทศไทย ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจำประเทศไทย
๒. ความสัมพันธ์ระดับรัฐบาล
เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ นายกรัฐมนตรีและภริยาให้การต้อนรับผู้สำเร็จราชการฯ และภริยา ณ ทำเนียบรัฐบาล ในโอกาสที่ผู้สำเร็จราชการฯ เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในโอกาสเดียวกันนี้ ผู้สำเร็จราชการฯ ได้พบหารือกับนายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้าง โดยทั้งสองฝ่ายต่างยินดีถึงพลวัตความสัมพันธ์ที่เป็นไปในเชิงบวกและสร้างสรรค์ และหารือเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกันในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ซึ่งครอบคลุมด้านเศรษฐกิจ ด้านความมั่นคงและการทหาร ตลอดจนการศึกษา และการท่องเที่ยว
ต่อมา นายกรัฐมนตรีได้นำผู้สำเร็จราชการฯ ชมการแสดงศิลปะมวยไทย ซึ่งเป็นกีฬาที่ผู้สำเร็จราชการฯ ชื่นชอบ และเป็นเจ้าภาพในงานเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้สำเร็จราชการฯ ในภาพรวม บรรยากาศ ณ ทำเนียบรัฐบาลเป็นไปอย่างอบอุ่น โดยทั้งสองฝ่ายมุ่งหวังที่จะรักษาความสัมพันธ์และความใกล้ชิดระหว่างกันในทุกระดับให้มีพลวัตสืบต่อไป
๓. ความสัมพันธ์ระดับประชาชน
เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ผู้สำเร็จราชการฯ และภริยาเดินทางเยือนจังหวัดเชียงรายและได้เยี่ยมชมโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาในท้องที่แบบรอบด้าน ทั้งด้านการพัฒนาสภาพแวดล้อม การฝึกทักษะอาชีพ และการสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชน
หนึ่งในโครงการเพื่อการพัฒนาที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากคือ การพลิกฟื้นที่ดินที่เคยเป็นไร่ฝิ่นให้เป็นแปลงเพาะปลูกแมคคาเดเมีย ซึ่งเป็นที่น่าสนใจว่า เป็นพืชท้องถิ่นของเครือรัฐออสเตรเลีย โดยนับตั้งแต่นั้นมา แมคคาเดมียก็กลายเป็นผลิตภัณฑ์ยอดนิยมของโครงการพัฒนาดอยตุงฯ และนำมาซึ่งรายได้ที่ยั่งยืนและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้คนในชุมชน
ทั้งนี้ โดยที่หลักการของโครงการพัฒนาดอยตุงฯ คือ การเสริมสร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเอง และการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับธรรมชาติ การเยี่ยมโครงการพัฒนาดอยตุงฯ จึงเป็นภาพสะท้อนถึงมิติหนึ่งของความร่วมมือที่ประเทศไทยและเครือรัฐออสเตรเลียจะเพิ่มพูนร่วมกันได้ กล่าวคือ ความร่วมมือด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ผู้สำเร็จราชการฯ และภริยาได้เยี่ยมชมโครงการการเสริมสร้างความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ กรณีศึกษาพื้นที่ลุ่มแม่น้ำอิง อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลออสเตรเลียร่วมให้การสนับสนุน และรับฟังข้อมูลเกี่ยวกับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ และการจัดการน้ำของชุมชนริมแม่น้ำในจังหวัดเชียงราย นอกจากนี้ ผู้สำเร็จราชการฯ และภริยาได้เยี่ยมสักการะวัดร่องขุ่น อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงรายด้วย
การสานต่อพลวัตความสัมพันธ์ฯ
โดยที่การเยือนประเทศไทยของผู้สำเร็จราชการฯ มีความสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับเครือรัฐออสเตรเลียในทุกระดับ กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงมุ่งมั่นที่จะสานต่อพลวัตและขับเคลื่อนให้ผลการเยือนฯ เป็นรูปธรรมต่อไป
ตัวอย่างเช่น นายกรัฐมนตรีได้หารือกับผู้สำเร็จราชการฯ ในประเด็นครอบคลุมถึงการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเกษตรแม่นยำ การเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด ความมั่นคงทางอาหาร และความร่วมมือด้านการศึกษา
ซึ่งยังคงเป็นประเด็นที่ประเทศไทยให้ความสำคัญและหยิบยกเพื่อสานต่อความร่วมมือกับฝ่ายออสเตรเลียในทุกโอกาส อาทิ การประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย สมัยพิเศษเพื่อฉลองวาระครบรอบ ๕๐ ปี ความสัมพันธ์ ระหว่างวันที่ ๔-๖ มีนาคม ๒๕๖๗ ณ นครเมลเบิร์น เครือรัฐออสเตรเลีย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วม ตลอดจนการพบหารือกับบุคคลสำคัญของเครือรัฐออสเตรเลียในโอกาสต่าง ๆ
อนึ่ง การที่ปี ๒๕๖๗ นี้ เป็นโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ และเป็นวาระครบรอบ ๗๒ ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับเครือรัฐออสเตรเลีย นับเป็นโอกาสให้ทั้งสองประเทศร่วมขับเคลื่อนความร่วมมือและพลวัตความสัมพันธ์ให้มีความสร้างสรรค์ ยั่งยืน และเกิดประโยชน์ในฐานะมิตรและหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ต่อไป
เขียนโดย:
กองประชาสัมพันธ์การทูตสาธารณะ กรมสารนิเทศ
โฆษณา