26 ก.ค. เวลา 07:07 • หุ้น & เศรษฐกิจ

คอลัมน์ “เรียลไลฟ์ เรียลลงทุน”​

📌อย่าหลงกลกับผลประกอบการ📌
ปกติแล้ว นักลงทุนที่ซื้อหุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐาน จะดูจากผลประกอบการของบริษัทนั้นๆ เป็นหลัก
หากผลประกอบการเติบโตดี ราคาหุ้นก็ควรจะดีขึ้นด้วย และหากผลประกอบการออกมาแย่ ราคาหุ้นก็ควรต้องดำดิ่ง ตามไปด้วย
คิดแบบนี้เหมือนจะถูก แต่จริงๆ แล้ว “ผิด”
เพราะปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น ไม่ใช่มีเพียงแค่ผลประกอบการเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องอื่นๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องอีกมากมาย
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ผมขอยกตัวอย่างหุ้นบางตัวมาประกอบข้อเขียนนี้นะครับ
หุ้น AOT หรือ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
ดูผลประกอบการและราคาย้อนหลังในรอบ 1 ปี ก็สามารถอธิบายอะไรได้มากแล้วครับ
AOT มีกำไรต่อหุ้นทั้งปี 2566 (สิ้นสุด 30 กันยายน 2566) เท่ากับ 0.62 บาท และหากดูแค่รอบ 6 เดือนแรกปี 66 เพื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกปี 67 (สิ้นสุด 31 มีนาคม) จะพบว่า 6 เดือนแรกปี 67 มีกำไรต่อหุ้นสูงกว่ามาก คือ 0.72 บาทต่อหุ้น (ซึ่งสูงกว่ากำไรของทั้งปี 2566) ส่วน 6 เดือนแรกปี 66 มีกำไรต่อหุ้นเพียง 0.15 บาทต่อหุ้น
กำไรโตดีใช่ไหมครับ ทีนี้ลองไปดูราคาหุ้น ว่าโตดีเหมือนกำไรต่อหุ้นไหม
ไม่เลยครับ เป็นคนละเรื่องเลย
ราคาหุ้น AOT เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2566 อยู่ที่หุ้นละ 71.50 บาท แต่ ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2567 อยู่ที่หุ้นละ 60 บาท
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ข้อสังเกตประการแรก ภาพรวมของตลาดหลักทรัพย์ฯ ใน 2 ช่วงเวลาที่แตกต่างกัน
ย้อนกลับไปดูดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET Index) เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2566 อยู่ที่ 1,557.71 จุด แต่ ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2567 อยู่ที่ระดับ 1,306.56 จุดเท่านั้น ถอยหลังลงมา 16.12%
ในขณะที่ราคาหุ้น AOT จากวันที่ 15 มิถุนายน 2566 ถึง 15 มิถุนายน 2567 ถอยหลังลงมา 16.08% ใกล้เคียงกับการปรับลดลงของดัชนีมากเลยทีเดียว แทบจะเรียกได้ว่า ปรับลดลงเป็นเปอร์เซ็นต์พอๆ กันเลย ทั้งๆ ที่ผลกำไรต่อหุ้นเติบโตขึ้นอย่างมาก
ข้อสังเกตที่สอง ค่าพีอีเรโช (อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น) ต่างกันมาก
.
ณ สิ้นปี 2566 ค่าพี/อี อยู่ที่ 97.10 เท่า แต่ ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2567 ค่าพี/อี อยู่ที่ 50.61 เท่า (จาก Factsheet ของตลาดหลักทรัพย์ฯ)
แน่นอนครับ ค่าพี/อีที่แตกต่างกันเกือบครึ่งหนึ่ง ย่อมสะท้อนว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อหุ้น AOT ถอยหลังลงอย่างมาก จากที่เคยให้ค่าสูงลิบลิ่ว เพราะเชื่อมั่นว่ากำไรต่อหุ้นจะต้องเติบโตสูงมากๆ ก็กลับมาให้ค่าสูงในระดับปกติ และสูงกว่าหุ้นอีก 20 ตัวในหมวดบริการ/ขนส่งและโลจิสติกส์
จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นว่า แม้ AOT จะมีผลประกอบการดีขึ้นมากมาย ทั้งกำไรสุทธิเติบโต อัตรากำไรสุทธิเติบโต จาก 11.70% เป็น 31.23% (เทียบงบงวด 6 เดือน ปี 66 กับ 67) และฐานะการเงินอื่นๆ ก็ดีขึ้นทั้งหมด แต่ราคาหุ้นก็ไม่สามารถสวนกระแสได้
นี่แหละครับคือหลุมพรางตัวสำคัญที่ทำให้นักลงทุนไม่ว่าจะเป็นรายเล็กรายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่าหรือเน้นเก็งกำไร เจ็บตัวกันถ้วนหน้า
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวนะครับ เพราะยังมีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกหลายตัวที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ เพราะปัจจัยโดยรวมแตกต่างกัน โดยเฉพาะการให้ค่าพี/อี ที่แตกต่างกัน ตามแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจนั้นๆ หรือหุ้นตัวนั้นๆ
ดังนั้น การจะตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น นอกจากจะดูเรื่องของผลประกอบการแล้ว ยังต้องดูด้วยว่า ค่าพี/อี ณ ราคาปัจจุบัน เมื่อเทียบกับตลาด และเทียบกับหุ้นในกลุ่มธุรกิจเดียวกันแล้วเป็นอย่างไร
หากหุ้นนั้นมีราคาแพงอยู่แล้ว (ค่าพี/อีสูง) ถึงแม้ผลประกอบการจะเติบโต แต่การเติบโตนั้นอาจจะสะท้อนในราคาหุ้นล่วงหน้าแล้วก็ได้ครับ
--
ติดตามเราผ่าน
Facebook: เรียลลงทุน
X: เรียลลงทุน
Blockdit: เรียลลงทุน
YouTube: เรียลลงทุน
Line: @RealLongtun
Podcast: เรียลลงทุน
โฆษณา