28 ก.ค. เวลา 10:05 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] The Death of Slim Shady (Coup De Grâce) - Eminem >>> ผีห่าฆ่าไม่ตาย

-นี่คืออัลบั้มที่โคตรการ์ตูนที่สุดสำหรับ Eminem แล้วล่ะครับ เหมือนแกปลุกปั้นการ์ตูน alter-ego Slim Shady มาเนิ่นนานแล้ว แกเลือกที่จะมาละเลงเป็นเรื่องเป็นราวมากสุดในยุคนี้ที่อะไรๆก็ woke อะไรก็ต้องผ่านการ PC
-จะเกิดอะไรขึ้นถ้าการปลดล็อคตัวตนอีกด้านอย่าง Slim Shady ผู้ที่เคยปู้ยี้ปู้ยำกลุ่มหลากหลายทางเพศ เหยียดเกย์ และผู้หญิงทั้งหลาย ผ่านบทเพลงสุดบ้าบอจัญไร จนเกิด controversy มากมายในยุค 00’s เมื่อหลุดมาในยุคดิจิตอล ผลแห่งอดีตเคยแรงของ Eminem จะถูกเด็ก Gen Z ตัดสินความเป็นชายแทร่ และลงดาบ cancel culture ย้อนหลังได้อีกหรือไม่ ? นี่ถือเป็นไอเดียที่น่าสนใจใช้ได้
-แรปเปอร์ Gen X ผู้โดนทัวร์ลงมาตั้งแต่อินเตอร์เน็ตยุคแรกๆ ผ่านร้อนผ่านหนาวทั้งการวิวาทะและด้านมืดของสารเสพติด จนถึงตอนนี้เปลี่ยนเป็นคนคลีน เหล้าไม่แตะ ยาไม่ยุ่ง 100 เปอร์เซนต์จนได้เหรียญมาแล้ว 16 ปีต่อเนื่อง Slim Shady จึงกลายเป็นตัวแทนแห่งด้านมืด และการเสพติดพลังงานลบไปโดยปริยาย แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า การมี Slim Shady มาครอบงำด้วยกลับสร้างภาพจำได้มากกว่าการหันมาทำเพลงแร็ปที่โฟกัสชีวิตจริงของตัวเองเสียอีก Slim Shady จึงไม่ต่างจากมาสคอตที่เป็นเงาตามรังควานป๋ามาร์แชล
โปรโมทบทความเจาะลึก The Slim Shady LP เอาไว้ย้อนความหลัง
-นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แรปเปอร์เมืองดีทรอยต์ตั้งใจจะปิดฉาก Slim Shady เพื่อให้แฟนเพลงมุ่งสนใจในคอนเทนท์ที่เน้นแค่ตัวมาร์แชลจริงๆ เขาเคยพยายามหลบเลี่ยงเงา alter-ego มาแล้วหลายครั้งหลายครา ไล่ตั้งแต่ยุคอัลบั้ม The Eminem Show ป๋าแกตั้งใจลดโทน horrorcore จริงจังกับการเสียดสีวงการบันเทิงไปจนถึงการเมือง
-ในเพลง When I’m Gone ก็มีการยิงปืนสาปส่งไล่ไปทีนึง My Darling ก็ฆ่ามันไม่ตาย และก็ไม่ได้แปลว่าเงา Slim Shady จะหนีหายไปไม่โผล่กลับมา ความสัมพันธ์ระหว่างป๋ามาร์แชลและ Slim Shady ถ้าเป็นภาษาแฟนก็คงจะเป็น on and off เดี๋ยวก็เกลียดเข้าไส้ เดี๋ยวก็ยอมรับเข้ามาอีกรอบเหมือนในเพลง Evil Twin ซึ่งก็เป็นไต๋ที่คนฟังอย่างเรารู้ ฟ้าดินก็รู้ มันก็คือคนเดียวกันนั่นแหละ
-การกลับมาปิดฉากอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในคราวนี้ ด้วยความที่ Eminem บ้าคอมมิคเข้าเส้นเป็นทุนเดิม เรื่องราวคร่าวๆ ป๋ามาร์แชลโดน Slim Shady จับตัวไปหวังเอาไปฆ่าด้วยการทรมานในรูปแบบต่างๆ ทั้งกรอกเหล้าและยา ครอบงำให้แรปแบบน้ำไหลไฟดับ ทำให้เผลอผรุสวาทพูดถึงคู่กรณีหน้าใหม่และเก่าปนกัน ความ homophobic บูลลี่คนพิการ transgender ก็หลุดพล่ามออกมา และก็ไม่ลืมที่จะล่อตีน Gen Z
1
-narrative ทั้งหมดทั้งมวลยังคงความ surreal แบบเดียวกับสองอัลบั้ม The Slim Shady LP และ MMLP เคยทำไว้กับฉากฆาตกรรมทั้งหลายแหล่ แต่โทน horrorcore ก็ลดลงไปเยอะพอสมควร เนื่องด้วยมันเป็นศึกที่สู้กับตัวเองโดยที่ไม่มีใครอื่นปนด้วย โดยนัยไม่ได้ออกแบบมาเพื่อฉายภาพการพิชิตมารแบบทุรนทุราย แต่เป็นสัญญะแห่งการเอาตัวรอดของป๋ามาร์แชลที่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองในเวอร์ชั่นปัจจุบัน ก่อนที่ Slim Shady จะจบอาชีพป๋าด้วยอดีตที่ตัวเองเคยสร้างเสียเอง มันจึงเอาไปเปรียบเทียบกับสองอัลบั้มไม่ได้เลย
-สิ่งที่ผมสัมผัสได้คือ ป๋ามาร์เชลย่างเข้าวัย 52 ปียังคงมีไฟในการแรปอยู่ ไม่ดับมอดโดยง่าย TDOSS จึงเป็นงานที่ผมเอ็นจอยที่สุดในรอบ 10 ปีถัดจาก MMLP2 รอบนี้ผมคงต้องสวนทางกระแสนักวิจารณ์หน่อยละ เอาแบบไม่สนใจคอนเทนท์จิกกัด ผมเอ็นจอยของผมแบบนี้จริงๆ สัมผัสได้ตั้งแต่ 9 แทร็คแรกที่โฟกัสช่วงที่ไอ้ผีห่า Slim Shady ออกมาทำงาน ถือเป็นช่วงสนุก จุดไฟติดได้อย่างลื่นไหลพอสมควร
-เซอร์ไพร์สตั้งแต่แทร็คแรก Renaissance ที่บาร์แรกของเพลงแกหยิบมาจาก verse ที่แกอัดไว้เมื่อ 20 ปีที่แล้วในช่วงทำอัลบั้ม Encore และบาร์ถัดไปก็ยังคงรูปเสียง Eminem สมัยหนุ่มได้อย่างแนบเนียนจนผมสงสัยว่า แกแอบพึ่งเทคโนโลยี de-aging technology รึเปล่าหว่า? เรื่องนี้ผมไม่ทราบเลย เป็นการเกริ่นนำให้ได้รู้ว่า แกปลุกไอ้ผีห่า Slim Shady อันเป็น the old Eminem ออกมาจริงๆ ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีที่คอยแทรก verse interact กับป๋ามาร์แชลยุคปัจจุบันมาเป็นระยะๆ
-Habits เริ่มต้นการทรมานด้วยการป้อนยา เพื่อให้ Eminem กลับมาเข้าสู่ห้วงแห่งการเสพติดอีกครั้ง โดยนัยก็คือโดนโอบรับด้านมืด Slim Shady เข้ามานั่นเอง เป็นความ horrorcore ที่ไม่ horror เลยแม้แต่น้อย ออกแนวแช่มชื่นประหนึ่งคนหายหน้าจากวงการไปนาน โชว์ความฟิตปั๋งของชายวัย 50 ตอนต้น ท่อนฮุกของ White Gold เป็นการบ่งบอกถึงความรู้สึก long time no see มากกว่าแสดงความสะพรึงกลัว
-Trouble มาแบบสั้นๆ คราวนี้ Slim ทรมาน Eminem ด้วยการเอาเหล้ากรอกปากเพื่อเพิ่มความเมามาย คายคอนเทนท์จิกกัดเพื่อให้ป๋ามาร์แชลโดน cancel เสียเอง แทร็คสั้นประหนึ่งบรีฟคอนเทนท์จิกกัดที่จะได้รับการสาธยายในแทร็คต่อๆไป
-และแล้วมรดกเก่าตั้งแต่ 2004 ก็ถูกไอ้ผีห่า Slim ขุดขึ้นมาจนได้ในเพลง Brand New Dance (ชื่อเดิม Christopher Reeve) เพลงที่เล็ง dark joke ไปที่อดีตซุปเปอร์แมนผู้พิการจากอุบัติเหตุตกหลังม้า แรกเริ่มเดิมทีเพลงนี้ถูกไปรวมในอัลบั้ม Encore แต่ Christopher Reeve เสียชีวิตก่อนที่ได้กำหนดการปล่อยอัลบั้ม ป๋ามาร์แชลเลยตัดสินใจไม่เอาเพลงนี้ไปรวมในที่สุด เหตุผลดังกล่าวจะถูกย้ำชัดอีกทีอีกทีในเพลง Guilty Conscience 2 (ทดไว้ เดี๋ยวไว้ขยายความในพารากราฟต่อๆไป)
ซึ่ง Brand New Dance ก็มีการแก้เนื้อบางส่วนเพื่อให้สอดรับกับยุคสมัย อาทิเช่น ท่อน drop the bomb เปลี่ยนการ mention จาก Saddam Hussein มาเป็น Kim Jong Un และการ mention ถึง Caitlyn Jenner ที่ตอนปี 2004 ยังไม่ได้รับการแปลงเพศ และกำลังเป็นเหยื่อหลักในเพลงต่อๆไป อีกตัวอย่างการขุดมรดกบาปที่บูลลี่ความพิการแบบไม่สนสี่สนแปดที่กลับมาเติมเต็มความ funky ที่ขาดหายมาตลอดสิบกว่าปีได้อย่างแปลกประหลาด และ Outro ก็มีซีนที่ Eminem ดันตื่นขึ้นมาจากฝัน จากการที่โดนไอ้ผีห่า Slim แกล้งผีอำทำให้ Eminem แทบเป็นอัมพาต
-หลังจากตื่นจากฝัน? Eminem ก็อยู่ในสภาพที่ Slim Shady เข้าสิงไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย เราเลยได้เพลงที่เปรียบเหมือนไตรภาคปีศาจ ไม่ว่าจะเป็น Evil, Lucifer และ Antichrist ซึ่งถือเป็นไตรภาคที่เมามันส์ใช้ได้เลยครับ ทั้งโฟลวและบีท เริ่มจาก Evil ที่มาในมู้ดแอนด์โทน horrorcore มากที่สุด เป็นความหลอนกรึ่มๆที่เริ่มสร้างปัญหาพาลไปถึงทะเลาะกับ Dr.Dre ถึงขั้นตบหน้าที่ดันสั่งห้ามไม่ให้เขาแรปถึง Gay อีกต่างหาก ยังคงมีเซนส์ในการแทรก bad joke ให้ได้อิหยังวะกัน
-All You Got (skit) ไอ้ผีห่า Slim ออกแนวงอนเริ่มทวงบุญคุณที่ทำให้ Eminem มีชื่อถึงทุกวันนี้ กูเป็นทุกอย่างให้มึง มึงฆ่ากูไม่ตายหรอกไอ้มาร์แชล
-Lucifer ปีศาจยังแผลงฤทธิ์ จิกกัดโซเชี่ยลมีเดียยุคปัจจุบันที่ทุกอย่างต้องผ่าน PC เสียจนความเป็น free speech ที่เขาเคยมีในอดีตอาจลดทอนจนหดหาย ถ้าใครเอาเขา (Slim Shady) เข้าคุกได้ คนนั้นคงได้ nobel prize พร้อมทั้งประกาศกร้าวตั้งรับ หากมี beef กับเขาเมื่อไหร่เป็นอันต้องคิดผิด เหมือนเปิดศึก beef กับ Kendrick Lamar
และไม่พลาดที่จะตอบโต้ Candace Owens ที่เคยวิพากษ์วิจารณ์เขาเมื่อปีกลายในเคสที่ป๋ามาร์แชลไม่อนุญาตให้ Vivek Ramaswamy ผู้สมัครชิงประธานาธิบดีจากพรรครีพลับบริกันใช้เพลง Lose Yourself ประกอบแคมเปญหาเสียง ซึ่งก็ตอกกลับแบบแสบๆถึงการที่ Candace ลืมกำพืดการเป็นคนดำของตัวเองด้วยการใส่เสื้อรณรงค์ White Lives Matter และสนับสนุน Donald Trump อย่างออกนอกหน้า
-Antichrist ไอ้ผีห่า Slim ยังคงล่อตีนเหล่า Gen Z และทำตัวสวนกระแส woke culture ที่คนบันเทิงจำเป็นต้องแสดงจุดยืนเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม ซึ่ง Slim (Eminem) กลับช่างแม่ง ทั้งๆที่หลังม่านเขาก็ไม่ใช่คนเลวร้าย และยังมีเพื่อนเป็นเกย์ตัวพ่ออย่าง Elton John ด้วยต่างหาก
ชอบท่อนฮุกที่หยอกล้อความเป็นเสียงลือเสียงเล่าอ้างสุดเย้ยหยันอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังได้เพื่อนเก่า Bizzare มาร่วมแจมในรอบหลายปี หลังจากที่ไม่ได้ร่วมงานกับเขามาเนิ่นนานหลังจาก D12 ถูกยุบไป กลายเป็นโมเมนต์สุดเซอร์ไพรส์ที่เติมเต็มความโหยหาของแฟนเพลงยุคตอนต้นได้อย่างใจชื้น
-Fuel เป็นแทร็คเติมเชื้อเพลิงที่เหมาะเหม็งเป็นซิงเกิ้ลอย่างยิ่ง JID ผู้มาเป็นแขกรับเชิญกำลังมีฟอร์มร้อนแรง และมีแนวโน้มจะเป็น massive hit rapper ได้อีกเรื่อยๆในอนาคต สร้างบาร์สุดร้อนแรงกันตั้งแต่ verse แรกในแบบที่ไม่เกรงใจเจ้าของเพลง
ซึ่งเจ้าของเพลงก็ยังไม่โดนกลบซีนได้โดยง่ายด้วย diss verse ที่เดือดสุดในปีนี้กับการพุ่งตรงไปที่ P.Diddy โดยตรง “ผมมันเป็นไอ้นักข่มขืน (Raper) ที่ดันสะกด (Rapper) ตก P ไปตัวนึง ที่ไหนได้เอาไว้ประดับชื่อ a.k.a นั่นเอง” ซึ่งบางทีป๋ามาร์แชลอาจได้รับการไถ่บาปจากเหล่าเฟมมินิสต์จากเคสนี้ก็เป็นได้
-การต่อด้วย Road Rage ที่ถึงแม้ว่าจะเร่งโทนความเดือดด้วยบีทและท่อนฮุกสุด hardcore ก็ตาม แต่คอนเทนท์จิกกัดที่ยังคงเน้นความเข้มงวดของ woke culture และตอกย้ำการเป็นคนที่ไม่ได้รังเกียจ transgender ด้วยการที่เขามีลูกเลี้ยง 1 ใน 2 คนที่ชื่อ Stevie ที่เปิดตัวว่าเป็น non-binary
คอนเทนท์การตอกกลับเหล่า PC police ที่ด่าป๋าไปเรื่อยในเพลงนี้จึงเป็นอะไรที่ตายด้านนิดนึง เพราะมันเริ่มเป็นการโต้วาทีที่เริ่มวกวนแล้ว ในส่วนของพล็อตเรื่องการต่อกรกับไอ้ผีบ้า Slim ก็เริ่มมีอะไรคืบหน้านิดนึง ป๋ามาร์แชลเริ่มได้สติ มีท่าทีต่อต้านแล้วจริงๆ
-การเอา Houdini มารวมในอัลบั้มนี้ด้วย และเอามาคั่นตรงจุดที่พล็อตเรื่องกำลังเข้าสู่ไคลแม็กซ์ด้วย มันจึงไม่ต่างจากการพักโฆษณาชมสิ่งที่น่าสนใจซักครู่ด้วยแฟนเซอร์วิสที่มาในรูปแบบ Without Me เวอร์ชั่นเพลงแปลงที่แซวมีมตัวเองอย่างฉ่ำๆ ผมไม่ติดเลยหากป๋าเลือกที่จะปล่อยเป็นซิงเกิ้ลเดี่ยวแยกเอกเทศ แต่พอเอามารวมกลับทำให้พล็อตพิชิตมารผีห่า Slim ที่ถูกปูทางมาอ่อนย้วยโดยทันที
-ได้เวลาพูดถึง Guilty Conscience 2 เสียที เพราะนี่คือไฮไลท์เด็ดของ TDOSS เลยครับ นี่เป็นแสดงให้เห็นว่าสกิล storytelling ของชายย่างวัย 52 ปียังคงเข้มข้นเอาเรื่อง
ในภาคแรกที่ฟีทกับ Dr.Dre เป็นแทร็ค role play ที่จำลองสถานการณ์ของชายชนชั้นล่าง 3 คนที่กำลังจะทำชั่วบางอย่าง โดยมี Dr.Dre เป็นตัวแทนแห่งความ(ดีย์)ที่คอยห้ามปรามให้พวกเขาใจเย็นลง ส่วน Eminem ก็ใส่ตัวละคร Slim Shady มาเป็นตัวแทนแห่งความเลวทรามในการยั่วยุให้ทำชั่วแม่งเลย ไม่ต้องเกรงใจใคร ซึ่งนี่คือเพลงฮิตสุดคลาสสิคที่ใหม่มากสำหรับฮิปฮอปยุคนั้น เอามาฟังตอนนี้ก็ยังสนุกเหมือนเดิม
และการเอามาสานต่อในครั้งนี้ก็ดีมากที่ไม่ซ้ำรอยเดิมกับการต้องลาก Dr.Dre มาเป็นคู่หูตบมุกอีกต่อไป และโทนเพลงก็จริงจังมากกว่าเน้นฮาด้วย คราวนี้ไอ้ผีห่า Slim ที่เคยยั่วยุคนอื่น กลับมายั่วยุผู้สร้างอย่าง Eminem เสียเอง ที่ผ่านมาไอ้ผีห่า Slim ก็สร้างความวายป่วงให้กับเพลงของ Eminem จนร้าน Mom’s spaghetti มีลูกทัวร์มาหน้าร้านไม่ขาดสาย และโดนคนหมู่มากประกาศแบน ดั่งที่ได้ฟังการรายงานข่าวใน Breaking News (Skit) ที่ไอ้ผีห่า Slim เปิดโชว์ให้ Eminem ดูถึงผลสำเร็จที่มันทำไว้
การลุกขึ้นมาต่อกรกับไอ้ผีห่า Slim เริ่มแรกคุยกันแบบขอให้ไปดีๆ ปล่อยกูไปเถอะ อย่าเอาเรื่อง beef ในอดีตมาต่อยอดเลย โดยเฉพาะเพลง Brand New Dance (ชื่อเดิม Christopher Reeve) จะขุดมาอีกทำไม มันก็นานแล้ว กูกะไม่เอาไปรวมใน Encore เพราะเขาเพิ่งตายไปไอ้ห่า
มันจะมีช่วงที่เสียงของ Slim และ Eminem ถูก merge ประสานเสียงร่วมกัน ประหนึ่ง Eminem ก็ยอมรับว่า ทั้งเขาและ Slim ต่างผลักดันกันและกันให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งนั่นเป็นแผนหลอกให้ไอ้ผีห่า Slim มันตายใจ Eminem หลอกล่อแย่งปืนมันมาได้
ทั้งนี้ก็สั่งเสียด้วยการพูดถึงชื่อคู่กรณีที่ผ่านมา (ซึ่งยาวเป็นหางว่าวมากๆ) ประหนึ่งกูไม่ขอมีเรื่องกับพวกแม่งแล้ว (จริงอ่ะ?) ก่อนที่จะกระทำการ Coup De Grâce จบชีวิตไอ้ผีห่า Slim แบบเอาให้ตาย
แต่ก็…ตัดแว๊บที่ Eminem สะดุ้งตื่นจากฝันร้ายสู่โลกแห่งความจริง รีบโทรหา Paul ผู้จัดการส่วนตัวอย่างไม่รอช้า เล่าถึงฝันร้ายที่เกิดขึ้นแบบตื่นซ้อนตื่น แต่ Paul ก็ไม่สนใจเพราะรู้สึกว่า Eminem แม่งไร้สาระเลยตัดสายทิ้ง และมีเสียงหัวเราะลั่นออกมาอย่างร้ายกาจ ประหนึ่งตอนจบที่ทุกคนก็รู้อยู่แล้วครับว่า Slim Shady คืออีกด้านของ Eminem ที่หนีไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว
-Head Honcho เหมือน showcase เด็กในค่ายป๋ากลายๆเลยฮะ เพราะได้ Ez Mil แรปเปอร์เชื้อสายฟิลิปปินส์มาร่วมแจมด้วย verse แร็ปอังกฤษปนภาษาแม่ฟิลิปปินส์โน่ ผลัดกันโชว์ความเป็นบอสคุมเกมส์ได้ด้วยตัวเอง
หลังจากตื่นจากฝันร้ายที่ Slim Shady ได้ครอบงำเขา ดูเหมือนว่า Eminem สามารถควบคุมตัวเองได้สมบูรณ์ และปล่อยผ่านอดีตที่เขาใส่ความเป็นไอ้ผีห่า Slim Shady ลงบทเพลง ซึ่งความคิดความอ่านในตอนนั้นมาจากการอยากระบายพลังงานลบออกไป จากการที่ตัวเองเจอเหตุการณ์หนักๆในช่วงก่อนชื่อเสียงก็มากมาย จากเหตุการณ์ที่ลุง Todd ลุงอีกคนของป๋ามาร์แชลเสียชีวิตต่อหน้าต่อตา รวมๆแล้วมันก็เปรียบเหมือนหลักฐาน graffiti บนผนังที่ลบหรือแก้อะไรไม่ได้อยู่ดี
-Temporary อีกหนึ่งบทเพลงสั่งเสียลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน Hailie Jade ก่อนที่อะไรจะเกิดขึ้น ตราบใดที่พ่อไม่อยู่แล้ว ความเศร้าโศกก็เป็นแค่เรื่องชั่วคราว ปาดน้ำตาแล้วจงมีชีวิตต่อไป มีการแปะฟุตเทจคลิปเสียงสมัยป๋ามาร์แชลยังเป็นพ่อลูกอ่อน Hailie ก็ยังเป็นเด็กไร้เดียงสา จุดนี้ทัชใจผมพอสมควร
ด้วยความที่พ่อลูกคู่นี้ผ่านช่วงเวลายากลำบากมามาก รับรู้ได้จากเพลงที่แล้วมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น Hailie’s Song, When I’m Gone และ Mocking Bird เพลงเหล่านั้นมันมีความดิบที่ป๋าถ่ายทอดออกมาอย่างซาบซึ้งและสะเทือนใจเป็นพิเศษ เหมือนผ่านดราม่าสายแข็งมาแล้ว เจอการนำเสนอป๊อปบัลลาดแบบ Temporary คือเฉยๆเลยครับ Skylar Grey นักร้องสาวคู่บุญร่วมถ่ายทอดท่อนฮุกได้สวยงามตามสูตร แต่ก็ไม่ได้แปลว่าการสั่งเสียผ่านบทเพลงนี้เป็นสิ่งที่ด้อยค่าและไม่ควรค่าแก่การฟังแต่อย่างใด
-Bad One แร็ปตัดพ้อถึงชีวิตการเป็นศิลปินที่มักจะโดนด้อยค่าจากการมีผลงานแย่แค่งานเดียวก็อาจเปลี่ยนชีวิตได้ ซึ่ง Eminem คือตัวอย่างสุดคลาสสิคแห่งการมีทั้งอัลบั้มที่ได้ฟีดแบ็คดีและแย่ผสมปนเปกัน ซึ่งล่าสุดหวยไปตกที่อัลบั้มนี้เสียด้วย ต่อให้กระแสตอบรับของ TDOSS จะต่ำเตี้ยที่สุดในปีนี้ แต่ยอดขายสัปดาห์แรก 281K ยังถือสูงสำหรับผู้อยู่ในวงการนานพอสมควร นั่นก็แปลว่ายังทำอะไรแกไม่ได้อยู่ดี
อย่างไรก็ดี ป๋าแกยังคงสนุกกับการแต่งกลอนแร็ป ไม่ได้หนีไปเล่น flute อย่างที่ Andre 3000 เคยทำในอัลบั้มเดี่ยวชุดแรก ซึ่งแกไม่ได้มีเจตนาดิส ออกแนวแซว Three Stack ขำๆ ยังแวะไปแซะ P.Diddy ด้วยการเปรียบเปรยความรุนแรงของกลอนแร็ปสามารถทำให้คนฟังช็อคเหมือนสิ่งที่ Diddy ได้ทำไว้ โดยเฉพาะวีรกรรม car bomb ใส่รถของ Kid Cudi ซึ่งอ้างอิงจากเรื่องจริงที่ Diddy ออกอาการหึงหวงอดีตแฟนสาว Cassie ที่ไปออกเดทกับ Kid Cudi ในช่วงนึง ยุ่งแฟนเก่าเหมือนยุ่งแฟนกู เลยเป็นที่มาของการระเบิดรถสั่งสอน Kid Cudi แม่งเลย
-เพลงรวมพลสามประสานมิชิแกนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาอย่าง Tobey ที่บ่งบอกความบ้าคอมมิคเข้าเส้นของเจ้าของเพลงด้วยการคารวะ Tobey Maguire เจ้าของบทบาท Spider-Man คนแรกในจักรวาล Marvel (และเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดในมุมมองของผม) บีทเพลงดุ่มๆแล้วค่อยเพิ่มระดับความ tense ที่ไม่พลุ่งพล่านเกินไปก็สามารถทำให้ขนลุกได้โดยไม่ต้องใส่ความเกรี้ยวกราดใดๆเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งยังแฝงเจตจำนงแห่งการส่งต่อความหวังให้กับผู้ฟังได้อย่างเฉียบคมผ่านการเชื่อมโยงกับ pop culture อันเป็นที่รู้จักทั่วโลกด้วย
กลอนแร็ปเปรียบเปรยก็จัดว่าสร้างสรรค์แบบไม่มีใครยอมใคร การรับไม้ต่อส่งไม้ต่อที่ไม่ขาดตกบกพร่อง ท่อนฮุก “โทบี้โดนแมงมุมกัดจนเป็น Spider-Man แต่เราต่างโดนกัดโดยแพะแล้วเป็น GOAT” มุกนี้เข้าใจคิด การ reference Star Wars ก็สอดแทรกเข้ามาด้วย BabyTron บอกว่าเขาคือ Obi-Wan ผู้เป็นความหวัง Big Sean เลยสวมบทบาทการเป็นอาจารย์ Yoda เกทับไปเลย
ส่วนป๋ามาร์แชลโชว์เหนือกว่านั้น ในเมื่อทั้งสองเคลมว่าโดนกัดโดยแพะแล้วเป็น GOAT แต่ป๋ามาร์แชลเป็นแพะตัวนั้นที่ไปกัดไอ้สองคนนั้นเสียเอง ซึ่งแกจะเคลมว่าแกคือ GOAT อยู่แล้วนั่นเอง เป็นการบลัฟที่โคตรฉลาดของจริง แกก็ยังไม่พลาดที่จะคอมเมนท์ลิสท์ 50 แร็ปเปอร์ยอดเยี่ยมโดย Billboard ที่จัด Eminem ไว้ในลำดับที่ 5 ในเชิงโชว์เหนืออีกเช่นกัน “ไอ้ 4 คนที่อยู่อันดับเหนือกู กูเคยฉีกพวกมันผ่านเพลงที่กูไปฟีทเจอร์มาแล้ว”
ตัวอย่างที่ชัดมากๆคือเพลง Renegade ของ Jay-Z (อันดับ 1 ประจำลิสท์นี้) ที่ป๋ามาร์แชลได้ไปร่วมแจมและถูกชมว่าเป็นตัวขโมยซีนในเวลานั้น ทั้งหลายทั้งปวงก็ไม่ได้มีเจตนาเปิดศึกดิสแต่อย่างใด ออกแนวเซ็งหน่อยๆก็เท่านั้น
ประเด็นเปิดศึกดิสกับผู้เคยเป็นไอดอลของป๋าอย่าง Grandmaster Melle Mel แห่ง The Furious Five ก็ถูกแทรกในเพลงนี้ด้วยเช่นกัน Melle Mel เป็นคนเปิดก่อนในข้อวิวาทะที่ว่า ถ้า Eminem เป็นคนดำ ไม่มีทางที่จะติด Top 5 แร็ปเปอร์ยอดเยี่ยมตลอดกาล ซึ่งถือเป็นการหยาม Eminem เต็มๆ ในแง่ของการสบประมาทความเป็นคนขาวอยู่เหนือกว่าความสามารถ เลยเป็นที่มาของการดิสกลับในเพลง Realest ของ Ez Mil ที่ป๋ามาร์แชลร่วมไปแจม
รุ่นพี่ Melle Mel ก็ไม่พลาดที่จะดิสกลับด้วยการปล่อยเพลง Kickback ผลตอบรับกลับบ้งสนิท ด้วยความจ๋อยนี้เอง ป๋ามาร์แชลก็ขยี้ยับใน Tobey เช่นกัน “แหม่ลุงก็ไม่น่าตอบโต้ผมเลย เสียชื่อตำนานให้ผมเสียแล้ว”
-ปิดท้ายด้วย Somebody Save Me ที่ได้แซมเปิ้ลเพลง Save Me ของหนุ่มคันทรี่จ้ำม่ำ Jelly Roll มาเป็นตัวชูรสความเข้มขลัง เป็นการปิดฉาก Slim Shady ในแบบที่เกิดใหม่ด้วยความคลีนหลุดพ้นจากบ่วงแห่งสารเสพติดทั้งปวง หลังจากที่มันทำลายชีวิตตัวเองและเป็นภาระให้คนรอบข้างมามากพอแล้ว เป็นการเลือกจบอัลบั้มด้วย apology note ต่อคนรอบข้างป๋าแก โดยที่ไม่มีการปิดฉากตัวแทนแห่งการเสพติดไอ้ผีห่า Slim อย่างเป็นเรื่องเป็นราว
ฟังไปฟังมาแล้วรู้สึกว่ามู้ดแอนด์โทนคล้ายๆกับ Arose เพลงปิดอัลบั้ม Revival อยู่ไม่น้อย เพียงแต่เพลงนี้ลดความ emotional เป็นการขอโทษอย่างประนีประนอมเสียมากกว่า ทั้งนี้ Jelly Roll ก็เคยผ่านช่วงเวลานี้เหมือนกัน มันเลยเป็นจุดร่วมกับเจ้าของเพลงอีกทีนึงในการให้อีกท่อนของเพลง Save Me ได้ทำงานในท่อน Outro ต่อนั่นเอง
-สี่ปีกว่าที่หายไป ชายย่างเข้าสู่วัย 52 ปีที่ผมยังขอยืนยันในความเอ็นจอยในแบบใจชื้นที่อย่างน้อยก็ไม่ได้ยัดคอนเทนท์จำพวกไรห์มโหดโกรธนักวิจารณ์แบบเดียวกับ Kamikaze หรือการเจอ identity crisis แบบ Revival อย่างน้อยก็ยังฝึกสมองซีกขวาด้วยการต่อยอดจักรวาลไอ้ผีห่า Slim Shady ให้ออกมาในเวย์การ์ตูนสุด surreal เป็นเรื่องเป็นราวยิ่งกว่า The Slim Shady LP เสียอีก
-ซึ่งอัลบั้มแจ้งเกิดเมื่อปี 1999 ยังคงปนเปด้วยเรื่องส่วนตัวของป๋าแกที่ดันหลอมรวมเข้ากับจักรวาลอันวิปลาสของไอ้ผีห่า Slim จนการแยกแยะอะไรจริงหรือปลอมยังยากมากในสมัยนั้น จึงไม่แปลกครับที่เกิด controversy กับพวกอนุรักษ์นิยมมากมายก่ายกองในยุคนั้น
-ในขณะที่ TDOSS มีการแยกสตอรี่ออกจากเรื่องส่วนตัวได้ชัดเจนกว่ามากๆ อีกทั้งอยู่ในช่วงที่ป๋าได้รับการเปลี่ยนผ่านมาก็เนิ่นนานพอสมควร แบบว่าชีวิตแกดียิ่งกว่าช่วงเดบิวท์ แกเลยสามารถที่จะทำอะไรแบบนี้ได้โดยที่ไม่มีประเด็นปัญหาส่วนตัวให้ต้องหลอมรวมอีกต่อไป มันเลยเป็นที่มาแห่งการคิดคอนเทนท์ “ลุงตีกับตัวเองในอดีต” ที่อุปสรรคระหว่างทางคือข้ออ้างดั่งสำนวน Devil made me do it. นั่นเอง
-ชัดเจนตั้งแต่ชื่ออัลบั้มที่ประกาศกร้าว “เอาให้ตาย Coup De Grâce” กับตัวละคร alter-ego ที่ป๋าแกสร้างขึ้นมา นั่นหมายความว่า ภาษาของอัลบั้มนี้จึงเป็นภาษาของไอ้ผีห่า Slim Shady ที่ core fan อย่างเราๆเข้าใจและอินตามได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลยครับ
-เสิร์ฟ Easter eggs buzz word ฉ่ำๆจาก 3 อัลบั้มแรก (The Slim Shady LP, MMLP และ The Eminem Show) เมื่อได้ยินปุ๊บก็ร้องอ๋อ เป็นกำไรสำหรับ core fan แต่ไม่ได้คุยกับทุกคนได้ทั่วถึงมากนัก ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ความสามารถอันเป็นโจษจัน ประเด็นอยู่ที่ป๋าแกตกผลึกอะไรจาก movement ของคนรุ่นใหม่ในยุคนี้กันแน่?
-การแซะ Gen Z วัฒนธรรมการแบนในยุคสมัยยิ่งแล้วใหญ่ แทบไม่เปลี่ยนมุมมองอะไรต่อคนกลุ่มนั้นได้เลย ป๋าแกเป็นแร็ปเปอร์จำพวกสนุกกับการหาวลีจิกกัด สัมผัสนอกในให้แลดูแดกดัน กวาดลานจอดรถทัวร์เพื่อล่อตีนมากกว่าถกเถียงถึงการหาข้อยุติของการแยกแยะความบันเทิงกับเรื่องส่วนตัวออกจากกัน
-กลับกลายเป็นว่า ป๋าแกยังคงใช้วิธีเดิมๆที่มันเคยสร้างปาฏิหารย์ได้แค่ครั้งเดียวในปี 1999 ในยุคที่การหลั่งไหลข้อมูลและประวัติศาสตร์อันน่าเอือมระอายังไม่ไหลเชี่ยวมากเท่ายุคนี้ จูงใจให้ชาวเน็ตตาสว่างกับความเชื่อผิดๆที่ล้าหลังจนพร้อมจะเป็นซ้ายจัดได้ทุกเมื่อ ไม่แปลกใจที่คอนเทนท์ provocative ที่แกงัดมาใช้กลับได้รับกระแสตีกลับมากมายในรอบนี้ ข้ออ้างที่ว่า Devil made me do it. เด็กรุ่นใหม่ดันไม่ซื้อแล้วจริงๆ
-ถ้าจะจั่วด้วย “อวสาน Slim Shady” ในเวย์ที่สมเหตุสมผลให้ไอ้เด็กๆเหล่า Gen Z ไม่คิดว่า “ลุงจะตีกับตัวเองทำไม?” การอนุญาตให้ Slim Shady โผล่มาในท้องเรื่องแค่น้อยเพลงก็ถือว่า เข้านิยามแห่งการตายไม่กลับมารีเทิร์นได้เช่นกันครับ
-เราคงได้เห็นแค่เพลงจำพวก ไตรภาคปีศาจและ Guilty Conscience 2 ไม่มีเพลง Brand New Dance มาให้เกิด conflict เล่นๆ หรือเพลงแซะซ้ำๆเกินความจำเป็น จำได้เลยว่า MMLP2 สานต่อมนต์ขลังจากภาคแรกแค่นิดเดียว ที่เหลือก็เป็นการอยู่กับปัจจุบัน ปัดฝุ่นดูรูปโพลารอยด์เก่าๆเพื่อหวนความหลังก็เท่านั้น
-ส่วนทฤษฎีที่การฟังอัลบั้มนี้แบบย้อนหลังจะเล่าเรื่องราวที่แตกต่างนั่นก็คือ Eminem แพ้พ่ายมาร Slim Shady ติดยาติดเหล้าจนตายในที่สุด ถ้าจะมองมุมนั้นก็ได้อยู่นะครับ เพราะมันคือคนๆเดียวกันนั่นแหละ ซึ่งอาจจะไม่ได้ล้ำเกินความคาดหมายมากนัก แต่การที่ป๋าออกแบบอัลบั้มในเวย์ที่โคตรจะการ์ตูนแบบนี้ก็ถือว่าสัมฤทธิ์ผลที่จูงใจให้คนตีความในมุมกลับนั้นได้จริงๆ
-ถ้าหากมองข้ามเรื่องคอนเทนท์ที่ชวนให้คิ้วขมวดมากพอสมควร ความสนุกของ TDOSS ก็ไม่ถดถอยเสียทีเดียส และดีแค่ไหนแล้วที่แรปเปอร์ผิวขาวแห่งดีทรอยท์ยังฆ่าไม่ตายได้โดยง่าย ในยุคที่แรปเปอร์ผิวขาวโดน disrupt จากคนดำอย่างหนักหน่วงด้วยอิทธิพลคนดำเข้มข้นอย่างแรง
-ยุคที่เทรนด์การเสพเพลงเริ่มเปลี่ยน lyrics กลายเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น ความยาวเพลงที่ถูกตัดทอนให้สั้นลง mumble rap ที่ Eminem ไม่ปลื้มกลับขายได้ และไอ้พวก Gen Z ก็ดันโตมากับสิ่งนี้เสียแล้ว แร็ปเปอร์ผิวขาวที่คิดจะมาในยุคนี้ต้องดิ้นรนมากเป็นพิเศษ แต่สำหรับ Eminem แทบจะเลยจุดดิ้นรนเพื่อพิสูจน์ตัวเองไปแล้ว เหลือเพียงแค่หาโอกาสการรีไทร์ หาทางลงได้อย่างสง่าในยุคสมัยที่ไม่ใช่ชายผิวขาวยุค 50 ปลายๆอีกต่อไป
ก่อนที่เจนใหม่จะเล่นป๋าให้จนมุมเสียเอง
Top Tracks: Trouble, Brand New Dance, Evil, Lucifer, Antichrist, Fuel, Guilty Conscience 2, Tobey
Give 7/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา