29 ก.ค. เวลา 07:21 • ความคิดเห็น
บ้านที่อาศัย จิตนั่นอาศัยอยู่ในบ้าน สมมุติว่า เราอุตส่าห์ ตั้งใจ จะกราบพระ สวดมนต์ .ระหว่างที่สวดมนต์ ปากกาสวดไป .ไปตามสัญญาจำ .สวดไป ..แต่จิตนั้นไม่รับรู้ รู้สึกตัวว่ากำลังสวดมนต์ ..ปากสวดไปตามสัญญาจำ ..แต่จิต ..ไปโน้น..ไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ฟุ้ง ติดตามอารมณ์ไป ..อย่างนี้ เค้าเรียกว่า โจรจิต ..ขโมยจิตเราไป.
คราวนี้ มาถึงนั่งภาวนาบ้าง เค้าบอกว่า ให้ภาวนาอยู่กับพุทโธน่ะ ก็นั่งไปภาวนาไปพักเดียว ก็คิดเรื่องนั่นเรื่องนี้ หรือ ว่า ก็ไปเอาคาถานั่นนี่ เอามายึด ..เพลิดเพลินไป .โจรก็ขโมยจิตไป .
นั่งได้ ..เป็นชั่วโมง .หลงคิดว่าทำได้แล้ว ที่ไหนได้ จิตูกขโมยไป เค้าบอกว่า ดูลมเข้าออก .นั่งเป็นชั่วโมง สติอยู่ที่ลมเข้าออกไม่ได้เลย ..เข้าบอกว่า มาทำกายทำจิต ..ปลดเปลื้องอารมณ์ไป วางอารมณ์นึกคิด ให้เหลือคำว่าพุทโธ มีเสียงพุทธโธ
แต่กลับไปยึดเอาเสียงของอารมณ์นึกคิดที่เกิดขึ้น จิตมันถูกขโมยย่องขึ้นบ้าน จะให้ใครไปจับได้ .ก็ต้องเพียรทำให้จิตตื่นขึ้นมา รับรู้ ว่าโจรมันขึ้นบ้าน บ้านที่จิตอาศัยเปเรือนกาย เราก็อารมณ์บ้านนี้อยู่ แต่กลับไม่รับรู้ แถมยังยินดี..เห็นดีเห็นชอบ ไปตามขโมยที่ขึ้นบ้าน ก็เลยยินดีที่อยู่กัยขโมยขโจร โจรขโมยจิต ก็ต้องฝึกหัด ต่อสู้จับโจรที่ขึ้นบ้านให้ได้ ว่า..
แต่ว่า เราจะสู้เค้าไหวหรือ เพราะเราอยู่กับเค้า เป็นทาสเค้า รับใช้เค้ามายาวนาน เค้าส่งภาพหนุ่มงาม สาวงามมาขึ้นบ้าน มาในชุดนุงห่มปกปิดกายยังพอทน แล้วเค้าเกิดเอา รูปสวยงาม ผิวพรรณงดงาม มาขึ้นบ้าน ..เรือนมันหวั่นไหวมั้ย จะตามขโมยยอมขโมยมั้ย อารมณ์มันขย่มทั้งเรือนกาย ไม่มีใครช่วยได้ ในสิ่งที่ปรุงแต่ง อารมณ์ในเรือนกาย กายก็เป็นมายา ..ปลดเปลื้องอารมณ์ไม่ได้ จิตก็ต้องตามอารมณ์นั่นไป ..สุดแต่อารมณ์ที่สั่งมา.…
สติเหมือนยามที่เฝ้าบ้าน มันไม่เคยเตือน ..อะไรเลย ..สติมันก็หลับไหล รู้จักโจร มันจึงปลอยให้โจรมันขึ้นบ้าน ..มันก็กินนอนอยู่ในบ้าน .เหมือนญาติสนิทมิตรสหาย ตัดขาดกันไม่ได้เลย
โฆษณา