30 ก.ค. เวลา 09:43 • ไลฟ์สไตล์
จากการที่เราได้ มีชีวิตพบเห็นเรื่องราวต่างๆ ก็มากมาย คนเราก็ยึดนึกถึง แต่ในเรื่องราวชีวิต ทำอย่างไรจะให้กายนี้สุขสบาย ยามที่ร่างกายแข็งแรง ลิ้นก็แข็งแรง หูตาจมูกลิ้นใจ พอใช้งานไปมันก็เสื่อมสภาพ
เช่น หู..ชอบไปฟังเสียง เค้าด่าท้อ ติฉินนินทา เอาเรื่องนั้นเรื่อง ไม่ชอบใจ วิพากษ์วิจารณ์ แก่ตัวไป หูก็ตึง ..ใช้ลิ้น..ไปว่าคนนั้นคนนี้..ข้าดีคนเดียว รู้ไปหมด….พออยู่ๆ ปากเกิดเบี้ยว ..บ้างก็ชอบเครื่องรางของขลัง ท่องคาถา บรรจพลังของขลัง ..ใส่เข้าๆ พอแก่ตัว ก็เดินตัวเอียงๆ กระโผลกเผลก ต้องอาศัยไม้เท้ามาช่วยค้ำยัน ช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้ ต้องอาศัยลิ้นช่วย บอกคนนี่คนนั้น ช่วยทำนั้นทำนี่ให้หน่อย .. นี่แหละ ที่เราใช้สังขารนี้ ไปบรรทุกกรรม เข้ามา จะใช้สีงขารนี้ อย่างไร
.ที่สุด .จิตดวงนั้นหรือจิตเรา ก็ต้องจากกายนี้ไป ไปเพียงจิต .ได้อะไรไป เมื่อกายไร้ลมหายใจ เค้าก็มีสายโยง มาให้พระบังสกุล กุศลา ธัมมา อกุศลา ธัมมา อัพพยกตา ธัมมา ..ไปที่ชอบ ที่ชอบ ชอบทำอย่างไร ยึดอะไรไว้ ก็ไปสู่ ที่ชอบ ตามแต่นิสัยนิสัยสันดาน ที่ใช้มาทั้งชีวิต ที่ว่า เกิดมามาเพียงจิต ..มาอาศัยกายนี้ เค้าบอกว่า ให้มาอาศัยกายมนุษย์ แก้ไขนิสัยสันดานอะไรไปบ้าง
..หรือ ว่า มาทำให้เพิ่มพูน คำว่า กรรมให้มากขึ้น สะสมให้กรรมมากขึ้น สะสะมกรรมมากขึ้น จิตมันก็หนัก มันก็ลอยขึ้น ที่สูงไม่ได้ ลอยขึ้นฟ้าไม่ได้ เหมือนลูกโปร่ง ลอยขึ้นที่สูง มีแรงบุญกุศลพยุงจิต .ก็ขึ้นสวรรค์ เป็นเทพยดาอินทร์พรหม แต่พอหมดบุญพยุงจิต ก็ล่วงหล่นลงมา ก็มาอาศัยกายมนุษย์สร้างขึ้นมาใหม่ ..เพื่อจะกลับ ที่เดิมหรือสูงกว่าเดิม .
คราวนี้พอเกิดมา ..เคยสะสมบุญมาบ้าง บุญที่อยู่เก็บสะสมฝากไว้ กับดินฟ้าอากาศ ก็ทยอยส่งมาให้ .ทำมาหากิน เพลิดเพลิน มีทรัพย์สิน มีปัญญา มีบริวาร มีลาภ ยศสรรเสริญเยินยอ มียศฐานบรรดาศักดิ์ .ก็เพลิดเพลิน ไปกับวัตถุ ..ที่ตัวเองหามากองไว้ เพลิดเพลินในสิ่งที่อำรนวยความสะดวกสบายให่แก่กาย ก็เลยมองข้าม .เรื่องบุญกุศล มองเห็นผ้าเหลืองก็งั้นๆ แหละ ไม่มีความสำคัญ ..ก็เลยไม่รู้ว่า ผ้าเหลืองผ้ากาสาวพัสตร์ นั้นมีความหมาย มีความสำคัญอย่างไร
เมื่อชีวิตทั้งชีวิต ไม่เคยรับรู้ ไม่เคยสนใจ พอจิตออกจากกาย .คนเค้าทำบุญ ทำทาน พระสวดมนต์ ..ก็พอรับรู้ได้ ..บางดวงจิต ไม่รู้ว่าตัวเองตาย ก็เหมือ คนละเมอ ..เดินทักคนนี้คนนั้น แต่ก็ไม่มีใครพูดด้วย พระเค้าสวดมนต์ก็ไม่รู้ ..ว่าเค้าสวดอะไร .โลงที่เค้าตั้งใส่ร่างตัวเอง ก็มองไม่เห็น จะไปเห็นอีกที ก็ตอนเค้าเปิดโลง ก็ตกอกตกใจ ..ตายแล้วหรือ ร้องห่มร้องไห้ พอรู้ว่าตายปุ๊บ .รูปนั้นก็เปลี่ยนแปลง ..เป็นรูปอื่น ..บ้างก็กลิ่นเหมือนหนูตายซาก
..เมื่อตายใหม่ๆ คนเค้า พอมีบุญหล่อเลี้ยงบ้าง ก็ยังไม่หิวโหยอะไร พอนานไป .ก็เริ่มอดอยากหิโหย ทุกคนทรมาน ยิ่งเหลือแต่จิต ..จิตที่มีแต่กรรมสะสมมา มันก็หนัก ..มีแต่กรรมหนุนนำ .มันก็ไปตามที่ว่า ทุกขคติปาฏิกังขา ไปสถานที่ทุกข์แน่นอน ที่ธาตุทั่งสี่จะไปประกอบให้ด้วยธาตุที่ตนสะสมกรรมมาเอง ไปประกอบที่นรก เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย
คราวนี้ บั้นปลาชีวิต มันก็แล้วแต่ แต่ละคน จะสนใจเท่าอะไร เพราะสิ่งที่หามาทั้งชีวิต เอาอะไรไปไม่ได้เลย ยิ่งร่างกายมันเสื่อมถอยลงไป ก็จะมีแต่คำว่า นั่งเฝ้านอนทรัพย์สินที่หามากองไว้เอาไปไม่ได้ ..หามาให้คนนั้นคนนี้ใช้ เมือเราจากไป ..เราก็ไม่รับรู้แล้ว
..ส่วนเรา ..ก็ค่อยๆทยอยไป เพราะทำมาตลอด ทยอยนำมา แปรสภาพให้เป็นทานเป็นบุญ ฝากไว้กับ ศาสนากับดินฟ้าอากาศ . กระจายเป็นบุญกุศลให้แก่จิต .พอเราสร้างบุญกุศล จิตเราก็มีความสุขสดชื่น อิ่มเอิบ ไม่ค่อยหิวกระหายอะไร . แต่ส่วนมากคนก็ไม่เคยสังเกต อีกทั้งบางทีก็ทำบุญไป แต่กลับไปเรียกร้องหากรรม มันก็ไม่เกิดเป็นบุญกุศลเกิดขึ้น
เรื่องพวกนี้ มันก็ตัวใครตัวมัน เพราะมาเพียงจิต ก็ไปแต่จิต ชวนใครไปด้วยก็ไม่มีใครตามไป .
ไปตัวคนเดียว ..มีเสบียงพร้อมแล้วหรือยัง มันก็แล้วแต่ใครจะคิด หรือ ไม่คิด ของใครของมัน ไปตัวคนเดียว ..สิ่งที่เคยรับรู้ในโลก ก็ไม่มีอีกแล้ว มีแต่จิตเป็นนามธรรม จับต้องอะไรไม่ได้เลย .ของๆโลก ก็ต้องทิ้งไว้ในโลก
..หมดชีวิตเป็นมนุษย์ชาตินี้ ไม่รู้ว่าชาติหน้าเป็นอะไร ..
โฆษณา