1 ส.ค. เวลา 00:14 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศและการบินแห่งชาติ

Phantom F-4

เครื่องบิน McDonnell Douglas F-4 Phantom II (หรือที่เรียกกันว่า "Phantom F-4") เป็นเครื่องบินรบที่ถูกใช้งานโดยหลายประเทศทั่วโลกตั้งแต่ปี 1960 เป็นต้นมา และมีบทบาทสำคัญในหลายความขัดแย้งทางการทหาร หนึ่งในบทบาทที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์คือการทำคานอำนาจระหว่างประเทศหรือการถ่วงดุลย์กำลังในสถานการณ์ระหว่างประเทศต่าง ๆ
ตัวอย่างเช่น:
1. สงครามเวียดนาม (Vietnam War) F-4 ถูกใช้งานโดยกองทัพสหรัฐฯ และพันธมิตรในสงครามเวียดนาม ทำหน้าที่ทั้งในบทบาทเครื่องบินรบและเครื่องบินโจมตี ซึ่งช่วยถ่วงดุลย์กับกองกำลังทางอากาศของเวียดนามเหนือและสนับสนุนกองกำลังภาคพื้นดินของเวียดนามใต้
2. ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง F-4 ถูกใช้งานโดยกองทัพอิสราเอลในสงครามหกวัน (1967) และสงครามวันลิบเบอร์ (1973) เพื่อถ่วงดุลย์กับกองกำลังของประเทศอาหรับ เช่น อียิปต์ ซีเรีย และจอร์แดน
3. สงครามเย็น (Cold War) ในช่วงสงครามเย็น F-4 ถูกใช้งานโดยหลายประเทศในนาโต้เพื่อถ่วงดุลย์กับการขยายกำลังทางทหารของสหภาพโซเวียตและประเทศพันธมิตรในกลุ่มวอร์ซอ
Phantom F-4 ยังถูกใช้งานโดยประเทศอื่น ๆ เช่น เยอรมนีตะวันตก ญี่ปุ่น และอิหร่าน ซึ่งในแต่ละกรณี เครื่องบินนี้มีบทบาทในการสร้างสมดุลย์ทางทหารในภูมิภาคนั้น ๆ
McDonnell F-4 Phantom
เครื่องบิน McDonnell Douglas F-4 Phantom II ถูกออกแบบและผลิตโดยบริษัท McDonnell Aircraft Corporation (ซึ่งต่อมาได้รวมกับ Douglas Aircraft Company กลายเป็น McDonnell Douglas) ในประเทศสหรัฐอเมริกา การผลิตเริ่มขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1950 และเครื่องบินรุ่นนี้ถูกใช้งานโดยหลายประเทศทั่วโลกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เครื่องบิน McDonnell Douglas F-4 Phantom II ถูกขายและส่งมอบให้กับหลายประเทศทั่วโลก โดยมีการใช้งานทั้งในด้านการทหารและการฝึกบิน ประเทศที่ได้รับเครื่องบินรุ่นนี้จากสหรัฐอเมริกา ได้แก่:
1. สหราชอาณาจักร
2. เยอรมนีตะวันตก
3. ญี่ปุ่น
4. อิสราเอล
5. อิหร่าน (ก่อนการปฏิวัติอิหร่านในปี 1979)
6. กรีซ
7. ตุรกี
8. เกาหลีใต้
9. สเปน
10. ออสเตรเลีย
11. อียิปต์
12. ซาอุดีอาระเบีย
นอกจากนี้ F-4 Phantom II ยังถูกใช้โดยสหรัฐฯ เองในหลายสาขาของกองทัพ เช่น กองทัพอากาศ กองทัพเรือ และนาวิกโยธิน โดยมีบทบาทสำคัญในหลายภารกิจทางการทหาร
Fighter War
บริษัท McDonnell Aircraft Corporation (ต่อมาเป็น McDonnell Douglas) ได้พัฒนาเครื่องบิน F-4 Phantom II เป็นเครื่องบินขับไล่หลายบทบาท (multirole fighter aircraft) ซึ่งสามารถทำภารกิจได้หลากหลายประเภท ทั้งการรบในอากาศ (air-to-air combat) และการโจมตีภาคพื้นดิน (air-to-ground attack) โดยมีคุณสมบัติที่สำคัญดังนี้:
1. ขับไล่ขับเคลื่อนคู่ (Tandem two-seat configuration) มีที่นั่งสำหรับนักบินและเจ้าหน้าที่ระบบอาวุธ (Weapon Systems Officer หรือ WSO) ทำให้สามารถแบ่งหน้าที่ในการควบคุมการบินและการใช้อาวุธได้
2. ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เจ็ทสองเครื่อง (Twin-engine jet) ใช้เครื่องยนต์ General Electric J79 ให้พลังงานมากและความเร็วสูง
3. ความเร็วเหนือเสียง (Supersonic) สามารถบินด้วยความเร็วสูงสุดมากกว่า Mach 2
4. การติดตั้งอาวุธที่หลากหลาย รองรับการติดตั้งอาวุธทั้งอาวุธนำวิถีอากาศสู่อากาศ (air-to-air missiles), ระเบิด (bombs), และปืน (guns)
5. เรดาร์และระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัย ใช้เรดาร์ AN/APQ-120 เพื่อค้นหาและติดตามเป้าหมาย
F-4 Phantom II ได้รับการพัฒนาในหลากหลายรุ่นเพื่อรองรับความต้องการเฉพาะของแต่ละสาขากองทัพหรือประเทศผู้ใช้งาน เช่น รุ่น F-4B สำหรับกองทัพเรือสหรัฐฯ, F-4C สำหรับกองทัพอากาศสหรัฐฯ, และ F-4E ที่ติดตั้งปืน M61 Vulcan แบบอากาศยาน เป็นต้น
Development to Phantom II upgrade
เครื่องบิน McDonnell Douglas F-4 Phantom II มีสมรรถนะหลักดังนี้
1. ความเร็วสูงสุด ประมาณ Mach 2.2 หรือประมาณ 2,370 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (1,470 ไมล์ต่อชั่วโมง) ที่ระดับความสูงสูง
2. เพดานบินสูงสุด ประมาณ 18,300 เมตร (60,000 ฟุต)
สมรรถนะเหล่านี้ทำให้ F-4 Phantom II เป็นเครื่องบินขับไล่ที่มีความเร็วและเพดานบินสูงซึ่งเหมาะสมสำหรับการปฏิบัติภารกิจที่หลากหลายทั้งในยุคที่มันถูกพัฒนาขึ้นมาและในช่วงที่มันยังใช้งานอยู่
ขอบคุณข้อมูลจากแชท gpt และภาพสวยๆจากพี่ไพบูลย์ครับ
โฆษณา