1 ส.ค. เวลา 04:22 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

KBTG X Andrew Ng นำ AI สร้างอิมแพคให้ประเทศไทย

KBTG เชื่อว่าในปี 2030 เศรษฐกิจทั้งโลกจะถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยที่ AI จะเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมหลักแทบทุกอุตสาหกรรม เทคโนโลยี AI ที่จะขับเคลื่อนในแต่ละอุตสาหกรรมจะเป็นเทคโนโลยี AI ที่มีการพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ที่แตกต่างกันของแต่ละอุตสาหกรรม เรียกว่าเป็น Domain-Specific AI หรือ Vertical AI ที่จะต้องใช้เทคโนโลยี Multi Modal (เป็นอีกขึ้นหนึ่งของ AI ที่จะมีความใกล้เคียงกับมนุษย์
นั่นคือมีสมองที่สามารถเข้าใจข้อมูลหลากหลายประเภท เสียง ภาพ ข้อความ ภาษา) และ Multi Agents (เทคโนโลยีที่ทำให้ทั้งคน โค้ด และ AI และสื่อสารกันได้ด้วย API ทำให้คนกับ AI สามารถทำงานร่วมกันได้)
ซึ่ง AI จะสร้างการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลเป็นประวัติการณ์ โดยคาดการณ์ว่า AI จะขับเคลื่อนมูลค่าทางเศรษฐกิจจำนวน 15.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับ GDP ทั้งโลก โดยในจำนวนนี้จะเพิ่มขนาดให้ GDP ของเอเชียขึ้นอีก 10% หรือประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และเกินครึ่ง (55%) ของผลผลิตของงานทุกชิ้นบนโลกใบนี้จะมาจากเทคโนโลยี AI
ดังนั้น AI คืออนาคตที่นอกจากจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของเศรษฐกิจโลกแล้ว ยังเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายของประเทศและขององค์กรธุรกิจ ที่จะต้องเตรียมพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ การเตรียมความพร้อมที่ดีที่สุดคือการสร้างความสามารถในการ “สร้าง” และการ “ใช้” เทคโนโลยี AI ซึ่ง “คน” คือศูนย์กลางที่สำคัญที่สุดของการเตรียมพร้อมในครั้งนี้
2 MoU ที่จะ “สร้างคนด้วย AI” และสร้าง “คน AI”
ด้วยวิสัยทัศน์ของ KBTG ที่จับจ้องเทคโนโลยี AI มาโดยตลอด จึงกลายมาเป็นยุทธศาสตร์ 5 ปีของ KBTG ที่เรียกว่า Human-first x AI-first Transformation ที่เน้นเรื่อง “คน” เป็นสำคัญที่สุด ซึ่งไม่ได้หมายถึงคนของ KBTG เท่านั้น แต่หมายถึง “ทุกคน” ในประเทศไทย ที่จะต้องติดทักษะ AI เพื่อการใช้ชีวิตในโลกยุคถัดไปที่ AI จะเข้าไปอยู่ในทุกที่ (AI will be Eveywhere) ที่ KBTG ประกาศล่าสุดในงาน KBTG Techtopia 2024: A Blast From The Future
ว่าพันธกิจหนึ่งของ KBTG คือการช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้อยู่บนแผนที่โลกของ AI และให้คนไทยทุกคนไม่ตกขบวนเทคโนโลยีนี้ Thailand Must Be ALL In on AI
กระทิง เรืองโรจน์​ พูนผล Group Chairman, KBTG กล่าวบน KBTG Techtopia 2024: A Blast From The Future ว่า KBTG ได้แปลงคำมั่นเป็นการกระทำผ่านการดึงทรัพยากรด้าน AI ระดับโลกอย่าง Andrew Ng
ผู้ทรงอิทธิพลด้าน AI ของโลก และเป็น Time 100 Most Influencial People in The World เป็น Time 100 Most Influential People in AI เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกด้าน AI ของโลก เป็นหนึ่งในบอร์ดบริหารของ Amazon เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Coursera เป็นผู้ก่อตั้งและผู้จัดการกองทุน AI Fund และผู้ก่อตั้ง DeepLearning.AI มาสร้างความร่วมมือในการนำ AI มาใช้สร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศไทย
KBTG เป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์กับ Dr. Andrew Ng และ AI Fund ที่จะมาร่วมมือกันสร้าง Co-Venture Built ด้วยกัน โดยเฉพาะเรื่องการสร้าง “คน” ผ่านการลงนามใน MoU 2 ฉบับ
KBTG-x-DeepLearning-AI
MoU ฉบับแรก KBTG ทำกับ DeepLearning.AI และสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIAT) เพื่อสร้าง KBTG.AI Kampus และสนับสนุน Super AI Engineer Bootcamp เพื่อสร้างทักษะด้าน AI และสร้าง AI Talents ให้กับประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา เพราะ KBTG เชื่อว่าเรื่องของการศึกษาเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
“เป็นการนำองค์ความรู้ด้าน AI ระดับโลกที่อยู่ที่ DeepLearning.AI มาให้คนไทยผ่านการทำงานร่วมกับสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทยเพื่อให้มั่นใจได้ว่าองค์ความรู้เหล่านี้ได้ส่งเข้าไปถึงมือคนไทยจริง ๆ” กระทิง เรืองโรจน์ กล่าว
MoU ฉบับที่สอง คือการทำ AI Assistant เพื่อช่วยสอนเด็ก KBTG จับมือกับ AI Fund และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) หน่วยงานในกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อสร้างเทคโนโลยี AI ร่วมกันเพื่อให้เด็กไทยเข้าถึงการเรียนรู้และคุณครูมีเพื่อน (Companion) ที่ช่วยให้เด็กไทยเข้าถึงการศึกษาที่ดีที่สุด ตอบโจทย์การขาดแคลนครูให้สามารถส่งมอบการเรียนการสอนให้เด็กไทยได้อย่างทั่วถึงและเสมอภาค
นอกจากนี้ KBTG ยังนำ Andrew Ng ไปพบกับนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน รวมถึงรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการและรัฐมตรีกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งคาดว่าจะเกิดความร่วมมืออื่น ๆ ตามมาอีกอย่างแน่นอน
“เด็กรุ่นใหม่สนใจเรื่อง AI และประเทศไทยมีโอกาสมหาศาลอย่างมากในโลก AI มีหลายอย่างที่ประเทศไทยเราทำได้ หน้าของ KBTG และ KBank คือพาคนระดับโลกเหล่านี้มาที่ประเทศไทย และทำงานร่วมกับคนเหล่านี้” กระทิง เรืองโรจน์ กล่าว
เป้าหมายของความร่วมมือในครั้งนี้ คือ การสร้างคนที่มีทักษะด้าน AI (AI Engineer) ปีละ 6,000 คน และหวังให้คนไทยมาเรียนรู้ด้าน AI ปีละนับล้านคน คาดว่าจะเริ่มเห็นผลได้ในปี 2025 ซึ่งเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับแนวคิด AI for ALL
“เรามีการพูดคุยกับภาครัฐในการนำ AI Literacy เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาภาคบังคับ ซึ่งกระทรวงศีกษาธิการและกระทรวงอว.เปิดรับและมีแนวทางจะนำหลักสูตร AI เข้าไปบรรจุไว้ในการศึกษาภาคบังคับ เราหวังเรื่องการสร้างคนให้มีทักษะด้าน AI ตั้งแต่ระดับมัธยม มหาวิทยาลัย และคนทั่วไป” กระทิง เรืองโรจน์ กล่าว
“หากประเทศต้องทำ AI Transformation ขั้นแรกสุดต้องเริ่มต้นที่คน ใช้ AI ใช้เป็นแต่ใช้แล้วไม่เก่งขึ้น ไม่มีประโยชน์ โลกเรากำลังเปลี่ยนจาก Knowledge Economy ไปสู่ Relationships and Trust Economy ซึ่งเทคโนโลยี AI และคนมีส่วนสำคัญมาก เราจัดงาน KBTG Techtopia เพื่อคนไทยและเพื่อประเทศไทย และเราพาครูที่ดีที่สุดด้าน AI มาให้ประเทศไทย นั่นคือ แอนดรูว์ อึ้ง (Andrew Ng)” กระทิง เรืองโรจน์ กล่าว
Andrew Ng
แอนดรูว์ อึ้ง (Andrew Ng), Managing General Partner, AI Fund & Founder of Landing AI กล่าวว่า เขามองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้ของประเทศไทยที่จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยยี AI เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ โดยเริ่มต้นที่คนและการศึกษา ใน 2 มิติคือ
การสอนคนให้มีทักษะด้าน AI กับการใช้ AI เพื่อสร้างคนในทักษะสาขาอื่น ๆ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาและเห็นว่าประเทศไทยมีโอกาส ที่สำคัญประเทศไทยมี KBTG ที่เห็นความสำคัญเรื่องนี้และมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อภาคอุตสาหกรรมและมีความเห็นตรงกันเรื่องการศึกษา
ประเทศไทยมีโอกาสอย่างมากใน AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นระบบนิเวศของ AI และระบบนิเวศของสตาร์ตอัพไทย รวมถึงเห็นโครงการหลายต่อหลายโครงการด้าน AI ที่ KBTG และหลายองค์กรทำอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ทุกคนจะต้องร่วมมือกันทำงานอย่างหนัก และคนไทยต้องเชื่อมั่นในประเทศไทย และเชื่อมั่นในคนไทยด้วยกันเอง เพื่อทำให้โอกาสและความป็นไปได้นั้นกลายเป็นความสำเร็จที่แท้จริง
“เรามองหาความร่วมมือกับหลายพันธมิตรเพื่อช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยในยุค AI ซึ่งการศึกษาคือรากฐานสำคัญของการข้บขับเคลื่อนนี้” แอนดรูว์ อึ้ง
AI สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศจีนอย่างใหญ่หลวงเมื่อ 10 ปีที่แล้ว และสื่อ (Media) มีบทบาทสำคัญมากในการให้ความรู้เกี่ยวกับ AI ว่าจะมีผลกระทบกับชีวิตทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนเทคโนโลยีหรือไม่ สื่อได้สร้างให้คนเกิดความตระหนักถึงความสำคัญของ AI ว่าจะเข้ามามีผลต่อชีวิตพวกเขาในอนาคตอย่างไร
AI มีบทบาทมากในเรื่อง Climate Change ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ของโลก ทั้งในมิติของการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) การท่องเที่ยว (Tourism) และการเกษตร (Agriculture) มีหลายสิ่งมากที่ AI สามารถเข้าไปช่วยได้ ตัวอย่างที่ AI Fund มีความร่วมมือกับ AES Corporation
ซึ่งเป็นผู้นำในการให้บริการพลังงานพลังงานหมุนเวียนให้กับดาต้าเซ็นเตอร์ และมีการใช้ AI มาวิเคราะห์ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ หรือการทำภูมิวิศวกรรมเพื่อสู้กับวิกฤติภูมิอากาศ (Climate Geoengineering) ซึ่งเป็นการแทรกแซงระบบภูมิอากาศขนาดใหญ่มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้อุณหภูมิของโลกเย็นลง 1-5 องศา
ผนึกกำลังผ่าน Co-Build Model ขับเคลื่อนการใช้ AI ในหลากหลายอุตสาหกรรม
นอกจากความร่วมมือในการสร้างคน AI และใช้ AI สร้างคนแล้ว ยังมีความร่วมมือระหว่าง KBTG และ AI Fund ที่จะผสานจุดแข็งของโมเดลห้องปฏิบัติการธุรกิจ (Venture Studio) ของ AI Fund เข้ากับความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของ KBTG เพื่อพัฒนาโซลูชันใหม่ ๆ ที่สามารถแก้ไขปัญหาในโลกจริงได้ ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนการใช้ AI ในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ
Co-Build Model คือการผนึกความเชี่ยวชาญและการทำงานร่วมกันระหว่าง KBTG กับ AI Fund ในการร่วมกันหาโจทย์ จากนั้นลงทุนและปั้นสตาร์ตอัพที่มีความสามารถด้าน AI เพื่อตอบโจทย์นั้น ๆ
เริ่มจากโจทย์อุตสาหกรรม จากนั้นเข้าสู่กระบวนการสร้างสตาร์ตอัพด้าน AI เพื่อตอบโจทย์อุตสหากรรมนั้น ๆ โดยเฉพาะ โดยใช้เวลาตลอดทั้งกระบวนการราว ๆ ปีครึ่ง เริ่มจากโจทย์ (Ideas) จากนั้นเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนที่ 1 คือการตรวจสอบไอเดียทั้งแง่การตลาดและเทคโนโลยี โดยทีมของ AI Fund ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน
จากนั้นเข้าสู่ขั้นตอนที่ 2 คือ เริ่มหาผู้ร่วมก่อตั้งสตาร์ตอัพมาเป็นซีอีโอเพื่อรันงานต่อ ขั้นตอนการเฟ้นหาซีอีโอใช้เวลา 2 เดือน เมื่อได้ซีอีโอแล้วก็จะเข้าสู่ขั้นตอนที่ 3 คือ การสร้างเทคโนโลยี AI ให้กลายมาเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับอุตสาหกรรมนั้น ๆ ขั้นตอนนี้จะเริ่มสร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ขั้นตอนนี้ใช้เวลาราว 3 เดือน
เมื่อได้ผลิตภัณฑ์ต้นแบบแล้วก็จะเข้าสู่ขั้นตอนที่ 4 คือขั้นตอนการใส่เม็ดเงินลงทุน Pre-Seed ที่วงเงินราว 1 ล้านดอลลาร์ เพื่อขยายทีมจ้างผู้บริหาร สร้าง​ MVP และฐานผู้ใช้งานและลูกค้าจำนวนมาก ขั้นตอนนี้กินเวลาราว 1 ปี จากนั้นจะไปสู่ขั้นตอนสุดท้าย คือการใส่เงินลงทุน Seed Funding ที่วงเงิน 2-5 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างการเติบโตและขยายขยาดธุรกิจของสตาร์ตอัพรายนั้น ๆ ซึ่งความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยี AI มีความสำคัญอย่างมากในกระบวนการเหล่านี้
เมื่อนำความเชี่ยวชาญในรูปแบบการสร้างสตาร์ตอัพด้าน AI ในรูปแบบนี้ของ AI Fund มาผนวกเข้ากับความเชี่ยวชาญในภาคอุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร และความเชี่ยวชาญในฐานะผู้เล่นในประเทศไทยในฐานะตลาดที่มีโอกาสสำหรับ AI ในอุตสาหกรรมสุขภาพ การท่องเที่ยว และการเกษตร รวมถึงความเชี่ยวชาญในตลาดภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ KBTG ทำให้ความร่วมมือกันของ KBTG กับ AI Fund มีความน่าสนใจและถูกคาดหวังว่าจะสร้างให้เกิดผลกระทบมหาศาลในอนาคต
ด้วยรูปแบบของกระบวนการลงทุนและการสร้างสตาร์ตอัพด้าน AI ที่ใช้เวลาเพียงปีครึ่งต่อสตาร์ตอัพ 1 บริษัท ผนวกกับความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของ KBTG ในการพัฒนาโซลูชันเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงเม็ดเงินลงทุนของทั้งสองพันธมิตร ทั้ง AI Fund และ KXVC ความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยสร้างการเติบโตให้กับสตาร์ตอัพ AI ใหม่ ๆ ที่ต้องการสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกอุตสาหกรรมทั้งในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างแน่นอน
#KBTG #AIFund #KBTGTechtopia
#ABlastFromTheFuture #BeyondPartnership
โฆษณา