2 ส.ค. เวลา 06:43 • หนังสือ

“อยู่เหนือความครอบงำความคิดคน”

มีคำถามครับพระอาจารย์..
ขอกราบประทานโทษนะครับ
ธรรมพระอาจารย์ปราณีต ลึกซึ้ง ตามรู้ได้ง่าย ไม่เคยได้ฟังเช่นนี้มาก่อน หมู่กระผมนำมาปฏิบัติกัน
สิ่งที่คาใจคือ คำพูด ท่าทาง กริยา การแต่งกาย ดูว่าหยาบ ไม่ปราณีตเหมือนธรรม มันจะสวนทางกันหรือไม่ครับ ขอโอกาสนะครับ หมู่กระผมสงสัย..
พระอาจารย์… หวัดดีๆท่านเจน
ท่านจะเอาธรรมหรือเอารูปแบบที่ท่านยึดในรูปแบบของท่าน
มนุษย์นั้นมีจริต กริยาแตกต่างกันออกไป
มันดำเนินไปตามวิสัยจริตไม่เหมือนกัน
ข้านั่นเห็นว่า การอยู่ในธรรมชาติที่เรามีที่เราเป็นนั้น อิสระที่สุด
หากเราต้องการศรัทธา สรรเสริญ หรือให้ผู้คนมานับถือ มันก็จะประพฤติอีกอย่าง เพื่อลาภสักการะนั้นๆ
ข้าบวชมาเพื่อหาความเป็นจริงด้วยปัญญา จึงไม่จำเป็นต้องว่าตามๆใคร ไม่ต้องให้ใครมานับถือ มาศรัทธา หรือเป็นอาจารย์ใคร
พวกเขาว่ากันเองตามคติความเชื่อของเขา ข้าอยู่ตามจริตที่เป็นธรรมดา มันก็แค่ไม่ถูกใจใคร
คนเรานั้น ธรรมดามักยึดอัตตาตน เพื่อให้ผู้อื่นเห็นว่าตนนั้นเป็นคนดี ด้วยท่าทาง คำพูด การกระทำ
พระพุทธองค์ได้ทรงแยกคนมีธรรมและไม่มีธรรม ออกเป็นสี่ประเภทให้ผู้คนได้พิจารณาดู
ท่านทรงตรัสว่า..
** ภิกษุแม้บรรลุธรรมแล้ว แต่นิสัยเดิมเป็นมาอย่างไร ท่านก็แสดงไปตามอุปนิสัยและวาสนาเดิมที่ท่านเป็นเช่นนั้น
พระองค์ยังได้เปรียบเทียบ อุปนิสัยของพระอริยเจ้า กับปุถุชนไว้ว่า
1 น้ำลึก-เงาลึก
2 น้ำลึก-เงาตื้น
3 น้ำตื้น-เงาลึก
4 น้ำตื้น-เงาตื้น
ทั้งสี่ข้อนี้ เปรียบเป็นเช่นไรให้เราเข้าใจ
ข้อแรก คำว่า “น้ำลึก-เงาลึก” หมายความว่า
ท่านผู้นั้นมีคุณธรรมอยู่ภายในใจแล้ว
แจ้งแล้ว เกิดปัญญาญานแล้ว
ความเป็นอยู่ มีกิริยามารยาทการแสดงออกทางกายและวาจาที่สุขุมลุ่มลึก
เป็นอุปนิสัยเดิมของท่านที่น่ามอง น่านับถือ ท่วงท่า กาย วาจา สวยงาม นี่ประเภทหนึ่ง
ข้อสอง คำว่า “น้ำลึก-เงาตื้น” หมายความว่า
ท่านผู้นั้นมีคุณธรรมอยู่ภายในใจแล้ว แจ้งแล้ว เกิดปัญญาแล้ว
แต่กิริยามารยาทการแสดงออกทางกายและวาจา
ไม่มีความสำรวมเลย
อยากแสดงตัวอย่างไร อยากพูดอย่างไร ก็เป็นไปอย่างไม่สำรวมทั้งสิ้น
บางอย่างก็ผิดในพระธรรมวินัย เพราะเป็นเพียงกิริยาที่แสดงออกมาตามนิสัยจริตเท่านั้น โลกย่อมไม่เข้าใจ
ถ้าหากไปพบเห็นผู้ที่มีอุปนิสัยอย่างนี้
ก็จะเดาไปทันทีว่า
ท่านผู้นี้ยังเป็นปุถุชน
เพราะมีนิสัยไม่น่าเคารพเชื่อถือได้เลย
ข้อสาม คำว่า “น้ำตื้น-เงาลึก” หมายความว่า
ท่านผู้นั้นยังไม่มีคุณธรรมภายในใจ ไม่แจ้งในธรรม ไม่แจ้งทางปัญญา
แต่กิริยามารยาทการแสดงออกทางกายและวาจานั้น
มีความสุขุมลุ่มลึกมาก
การสำรวมทางกาย และวาจาน่าเลื่อมใส ใครได้พบเห็นแล้ว จะเกิดความเชื่อถือ เป็นอย่างมาก
ถ้าได้พบเห็นผู้ที่มีอุปนิสัยอย่างนี้ก็จะเดาไปว่าเป็นพระอริยเจ้าทันที
เป็นประเภทรู้ธรรมมาก ทำตัวแจ้งในธรรม ทำตัวเพื่อให้ตนเองและผู้อื่นเห็นว่า นี่คือผู้ทรงคุณ
ข้อสี่ คำว่า “น้ำตื้น-เงาตื้น”
หมายความว่า
ท่านผู้นั้นยังไม่มีคุณธรรมภายในใจ ไม่แจ้งธรรม ไม่มีปัญญาญาน
และกิริยามารยาทการแสดงออกทางกายและวาจาก็ไม่มีความสำรวมแต่อย่างใด
ทำไปพูดไปตามใจชอบ อ้างความว่าง อ้างว่าตนปล่อยวาง มีอิสระจากการครอบงำจากสังคม
ทั้งสี่ประเภทนี้ เราย้อนไปสรุปได้ตรงที่ธรรมอันที่ท่านได้แสดงตัวออกมา
ลีลาของผู้ทรงคุณทางธรรม ไม่ว่าจะปกปิดหรือเปิดเผยเช่นไร ธรรมที่หลั่งไหลออกมาย่อมยังความชื่นใจ และอิ่มเอมเมื่อได้สดับฟัง
มนุษย์นั้น มีปัญญากันทุกคน ธรรมแห่งผู้ทรงคุณ เมื่อได้สดับฟังแล้ว จะเกิดปัญญา หลอกกันไม่ได้
พุทธวิถีนั้น เจริญมาทางด้านปัญญา ไม่ใช่เป็นการเอาตัวเข้าไปเป็นในสิ่งที่ผู้อื่นต้องการให้เป็น
ข้านั้น ไม่ได้ใส่ใจเรื่องใครศรัทธาหรือไม่ เมื่อเข้าใจและเกิดปัญญาเห็นว่า
ธรรมทั้งหลายมันมีเหตุของมัน
เราก็สาวผลไปหาเหตุ และเข้าใจเหตุด้วยปัญญา ผลก็จะเป็นธรรมดาของมันตามเหตุปัจจัย
ท่านเองเป็นน้ำแบบไหน ท่านก็ดูตัวท่านเอง อย่าไปสนใจใครจะเป็นน้ำแบบไหนอะไรเลย..
…ขอสาธุคุณครับพระอาจารย์ กระผมเข้าใจแล้วครับ…
พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 26 กันยายน 2562
โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง
โฆษณา