6 ส.ค. 2024 เวลา 05:30 • หนังสือ

หนังสือ "ทุกคนมีจังหวะชีวิตเป็นของตัวเอง" วินนี่ เขียน

น่าแปลกที่หลายครั้ง สิ่งที่เราพยายามอยู่ สิ่งที่เราทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ ก็เพื่อตอบสนองความคาดหวังของคนอื่น สิ่งที่เขาอยากให้เราเป็น สิ่งที่เขาอยากเห็นในตัวเรา ความฝันของเขาที่อยากเห็นเราเป็นแบบนั้น แต่สิ่งที่ทำอยู่นั้นไม่ใช่การทำเพื่อความฝันของตัวเราเองเลย บางครั้งยังเป็นสิ่งที่เราไม่ได้อยากทำด้วยซ้ำ ทำในสิ่งที่เราอยากทำจริงๆเถอะ อย่าทำทุกสิ่งเพื่อให้คนอื่นรักเรา แต่ทำให้เราไม่รักตัวเอง (หน้า6-7)
หลายครั้งที่เราเก็บสิ่งที่เราชอบที่สุดไว้ทำตอนสุดท้าย อาจจะด้วยเหตุผลที่ว่าอยากจบอย่างสวยงาม อยากให้สิ่งดีๆที่เราชอบคงเหลือไว้ในความรู้สึก หรือจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่การเก็บสิ่งที่ชอบไว้ทำหลังสุดอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีและไม่ได้เหมาะกับทุกเรื่องทุกสถานการณ์เสมอไป ไม่ต้องรอให้กินหมดก่อนก็ได้ถึงจะกินของที่ชอบ ไม่ต้องรอให้ประสบความสำเร็จก่อนก็ได้ถึงจะอนุญาตให้ตัวเองมีความสุข ไม่ต้องรอให้สบายก่อนก็ได้ถึงจะเริ่มใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ
เรามีความสุขในระหว่างทางที่เดินไปได้ ไม่จำเป็นต้องรอพบเจอความหอมหวานตอนที่ถึงปลายทางเท่านั้น เพราะกว่าจะถึงตอนนั้นอาจไม่ได้มีความสุขมากแบบที่เราคิดก็ได้ ... อย่าเผลอละเลยความสุขระหว่างทาง และไม่จำเป็นต้องเก็บสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขไว้ตอนสุดท้ายเสมอไป (หน้า 8-10)
เหมือนโลกนี้หล่อหลอมให้ทุกอย่างต้องรวดเร็ว ไม่ต้องรอนาน ทั้งการใช้ชีวิตและการทำตามความฝัน บางครั้งอายุไม่เท่าไร ล้มไม่กี่ที ก็บอกว่าตัวเองเป็นคนล้มเหลวแล้ว ทั้งๆที่ชีวิตยังอีกยาวไกล ทั้งๆที่ยังมีโอกาสอีกมากมายรออยู่ข้างหน้า จงเชื่อในเวลาของทุกสิ่ง ทุกอย่างมีเวลาของมันที่ไม่อาจเร่งได้ (หน้า 14-15)
การตัดสินใจหนักแน่นเพียงครั้งเดียวในตอนแรกอาจมีพลังไม่เท่าการตัดสินใจเล็กๆซ้ำๆเป็นร้อยเป็นพันครั้งตลอดเส้นทาง ... คนที่ทำไม่สำเร็จคือคนที่ตัดสินใจอย่างแน่วแน่จริงจังเพียงไม่กี่ครั้งในตอนแรก แต่กลับพ่ายแพ้ต่อความยากลำบากในระหว่างทาง ในขณะที่ คนที่ทำสำเร็จอาจไม่ใช่คนที่ตัดสินใจแน่วแน่ในตอนแรก แต่คือคนที่ตัดสินใจเข้าใกล้เป้าหมายซ้ำๆในทุกการกระทำเล็กๆ และเอาชนะตัวเองซ้ำๆได้ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้งตลอดเส้นทาง (หน้า 22-23)
ถ้าเธอพบเจอแต่ความสุข เธออาจจะไม่เห็นคุณค่าของมันเต็มที่ เธออาจดื่มด่ำและใช้ช่วงเวลาเหล่านั้นไปอย่างไม่ค่อยมีความหมาย แต่หากเธอได้เจอความทุกข์ ความผิดหวัง ความเสียใจบ้าง เธอจะรู้คุณค่าของความสุขมากขึ้น เธอจะเติบโตและได้บทเรียนดีๆจากความทุกข์ เธอจะรู้คุณค่าของชีวิต และเข้าใจความหมายของความสุขมากขึ้น (หน้า 41-42)
เคยรู้สึกเหมือนเป็นนก ที่หลงรักความอิสระโบยบินอยู่บนฟ้าที่กว้างใหญ่ หลงใหลในความไม่ผูกพัน หลงรักความคล่องตัวมาเสมอ พอเริ่มเติบโตกลับยิ่งค้นพบว่า การโบยบินอย่างอิสระให้ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป เรากลับมีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ในรัง การพบเจอผู้คนเดิมๆที่ทำให้สบายใจ มีความสุขกว่าการพบผู้คนใหม่ๆไม่สิ้นสุด เรากลับเสพติดการได้บินกลับรัง และใช้เวลาอยู่กับคนรู้ใจ ในทุกๆวัน อิสระที่เราเคยหลงรักกลับสู้ความสบายใจในสถานที่และผู้คนที่คุ้นเคยไม่ได้เสียแล้ว (หน้า 46)
ขณะที่ผมกำลังหาอะไรกินก็ไปคว้ากล่องคุกกี้มาได้กล่องหนึ่ง ... พบว่าหมดอายุมาจะครึ่งปีแล้ว ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมเราถึงปล่อยให้ของที่อยู่ใกล้ตัวหมดอายุไปนานขนาดนี้ แล้วก็ได้คำตอบว่า บางอย่างยิ่งใกล้เท่าไร เราอาจยิ่งไม่ใส่ใจเท่านั้น เหมือนเป็นของที่อยู่ใกล้ๆจะหยิบกินเมื่อไหร่ก็ได้เห็นกันอยู่ทุกวัน คิดว่าคงอยู่ตรงนี้แหละ ไม่หายไปไหน
จะว่าไปก็คล้ายกับหลายๆอย่างในชีวิตเรา ยิ่งใกล้กลับยิ่งไม่เห็นค่า เรามีเวลาให้คนอื่นมากมาย แต่กลับไม่มีเวลาให้คนใกล้ตัว ใส่ใจคนอื่นมากมาย แต่กลับละเลยคนที่อยู่ใกล้ตัว ชอบทำสิ่งต่างๆยากๆมากมาย แต่หลายสิ่งง่ายๆกลับไม่เริ่มทำสักที (หน้า 63)
ยิ่งโตขึ้นยิ่งถูกคาดหวังจากทุกคนว่าต้องยิ่งเข้มแข็ง ต้องยิ่งรับมือกับความเสียใจได้ดีและต้องยิ่งอดทน แต่การเติบโตนั้นไม่ง่ายเลย กว่าจะผ่านไปแต่ละขั้น กว่าจะขึ้นไปแต่ละก้าว ล้วนผ่านความเจ็บปวดและเสียน้ำตา และความรู้สึกมากมายที่หล่นหายไประหว่างทาง ความรับผิดชอบที่มากขึ้นหลายเท่าตัว แต่กลับคาดหวังให้เรารับมือมันให้ได้ดีกว่าเดิม เรื่องที่แบก เรื่องที่เจอ มีมากมายกว่าเดิม แต่กลับถูกคาดหวังว่าต้องสบายๆ และต้องทนไหวตลอดเวลา
ความกดดัน ความคาดหวังจากผู้คนรอบข้างมันเร็วกว่าการเติบโตของหัวใจ เรื่องที่ต้องเผชิญมันมากเกินไปที่จะรับมือและเรียนรู้ได้พร้อมๆกัน การได้กำลังใจจากใครสักคน ที่ให้โอกาสเราเติบโตไปช้าๆในแบบของเรา ให้โอกาสและเหลือพื้นที่ความผิดพลาดให้กับเรา ชื่นชมและยอมรับการเติบโตที่บิดเบี้ยวบ้าง ไม่เหมือนใครบ้าง แต่ก็ยังคงเป็นตัวเรา การได้กำลังใจแบบนั้น เป็นเหมือนปุ๋ย แสงแดด และการรดน้ำอย่างใส่ใจ ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตอย่างมีคุณค่าแบบสบายใจ...และงดงาม (หน้า 78-79)
ตอนที่ยังเด็กกว่านี้จำได้ดีว่าเราอ่อนไหวง่าย เจอใครทำดีด้วย เจอใครน่ารัก เจอใครถูกใจก็หวั่นไหวและมีใจให้เขาอย่างง่ายดาย แต่นั่นก็ทำให้เราต้องพบกับความผิดหวังอยู่บ่อยๆ และเรียนรู้ถึงความเจ็บปวดซ้ำๆ พอโตขึ้น เราหนักแน่นขึ้น ไม่หวั่นไหวกับอะไรง่ายๆ ก่อนตัดสินใจอะไรก็รอบคอบกว่าแต่ก่อน ก่อนที่จะให้ใจใครไปก็ระวังและคิดมากขึ้นเสมอ จนทำให้เราเริ่มที่จะให้ใจกับใครยากขึ้น
พอรู้ตัวอีกที "ความสามารถในการตกหลุมรัก" ของเรา ก็ลดลงจนแทบไม่เหลือแล้ว เรากลายเป็นคนที่ไม่หวั่นไหวง่ายๆ ไม่อาจตกหลุมรักใครอย่างง่ายดาย เรามีความสุขได้ด้วยตัวเองแบบไม่ต้องการใคร และกลายเป็นคนเฉยชากับการมีความรักไปแล้ว อาจเป็นระบบป้องกันความผิดหวังที่หัวใจของเราสร้างขึ้น พอเจ็บบ่อยๆก็จะรักใครยากขึ้นเอง ซึ่งจริงๆแล้วอาจปลอดภัยกับหัวใจ แต่ไร้ชีวิตชีวาเหลือเกิน (หน้า 84-85)
ขั้นกว่าของความเกลียดคือการ "ไม่รู้สึก" (หน้า 150)
ไม่ต้องสำเร็จเร็วเหมือนใคร
ไม่เป็นไรถ้าวันนี้เรายังเดินไปบนเส้นทางความฝันไม่ถึงไหน
ถ้าเธอยังไม่มีใครข้างกาย
แต่ตอนนี้เธอมีความสุขดีก็ไม่ต้องรีบก็ได้ เติบโตไปตามจังหวะชีวิตของตัวเอง เดินทางไปบนเส้นทางที่เรียกว่าชีวิต ด้วยความเร็วที่เหมาะสมของตัวเรา (ปกหลัง)
โฆษณา