ในบทละครตอนหนึ่ง ฟิกาโรมีบทพูดเดี่ยว (le monologue) ที่เขากล่าวโทษอภิสิทธิ์ชนและค่านิยมถือชาติกำเนิดอย่างเผ็ดร้อน บทพูดดังกล่าวถือเป็นบทที่โด่งดังที่สุดบทหนึ่งในประวัติการละครฝรั่งเศส ฟิกาโรกล่าวข้อความที่ตีความได้ว่า "หากไม่มีเสรีที่จะว่ากล่าวประณาม การสรรเสริญเยินยอก็ไม่มีเช่นกัน" [Sans la liberté de blâmer, il n’est point d’éloge flatteur]
เมื่อนำบทละคร "Le Mariage de Figaro" มาเล่นเป็นละครเวทีครั้งแรกในปี ค.ศ.1784 แม้จะประสบความสำเร็จงดงามในหมู่ประชาชนผู้ชม แต่โดยนัยของบทละครย่อมทำให้ราชสำนักขัดเคือง กษัตริย์หลุยส์ที่ 16 ไม่พอพระทัยอย่างยิ่ง ทรงสั่งห้ามเล่นละครเรื่องนี้ที่แวร์ซาย ทางการสั่งตรวจสอบและตัดทอนบทละครหลายตอน กล่าวกันว่าความสำเร็จของ "Le Mariage de Figaro" ในการแสดงรอบปฐมฤกษ์เป็นลางบอกเหตุแห่งการปฏิวัติฝรั่งเศส
การสืบสานและความสำคัญในปัจจุบัน
ข้อความและแนวคิดจากบทละครของโบมาร์แชยังคงมีความหมายและมีอิทธิพลต่อแนวคิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของฝรั่งเศสในปัจจุบัน หนังสือพิมพ์ฟิกาโร ซึ่งตั้งชื่อตามตัวละครของโบมาร์แชก็ได้นำข้อความ "Sans la liberté de blâmer, il n’est point d’éloge flatteur" มาเป็นคำขวัญของหนังสือพิมพ์ เป็นเครื่องยืนยันถึงความสำคัญของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในสังคมฝรั่งเศส
สรุป
การสะท้อนและการวิพากษ์วิจารณ์ใน "Le Mariage de Figaro" ของปีแยร์ โบมาร์แช เป็นการยืนยันถึงความสำคัญของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการวิพากษ์วิจารณ์ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการพัฒนามนุษยธรรมจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการเปิดกว้างในการแสดงออกและการวิพากษ์วิจารณ์ที่เสรี การสรรเสริญและการวิพากษ์วิจารณ์จึงเป็นสองด้านของเหรียญเดียวกันที่ขาดไม่ได้ในการสร้างสังคมที่เท่าเทียมและยุติธรรม