22 ต.ค. เวลา 12:00 • ประวัติศาสตร์
Rimping Supermarket NimCity Branch

จากกากน้ำตาล (Molasse) อาหารหวานที่สร้างความสุข สู่โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่เมืองบอสตัน

จากกากน้ำตาล (Molasse) อาหารหวานที่สร้างความสุข สู่โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 1919
ในวันที่ท้องฟ้าสดใสในเดือนมกราคมปี 1919 บนถนน Commercial Street ย่านตอนเหนือของเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประชาชนเริ่มออกมาใช้ชีวิตประจำวันกันตามปกติ พ่อค้าแม่ค้าออกมาเร่ขายของ เด็ก ๆ ก็วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าจะเกิดภัยพิบัติที่ไม่คาดคิดจากกากน้ำตาล
.
จุดเริ่มต้นของภัยพิบัติกากน้ำตาล (The Great Molasses Flood) เริ่มมาจากโรงงาน Purity Distilling Company ของบริษัท United States Industrial Alcohol Company (USIA) ซึ่งบริษัทแห่งนี้เป็นผู้ผลิตกากน้ำตาล สำหรับทำแอลกอฮอล์และอาวุธยุทโธปกรณ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ทั้งนี้เนื่องจากในช่วงสงครามแอลกอฮอล์เป็นที่ต้องการอย่างมากสำหรับเหล่าทหาร โดยเฉพาะเหล้ารัมที่ใช้กากน้ำตาลในการผลิต รวมไปถึงการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ต้องใช้กากน้ำตาลเพื่อผลิตเอทานอลสำหรับทำเชื้อเพลิงด้วยเช่นกัน
.
ด้วยเหตุนี้ในปี 1915 บริษัทจึงสร้างถังเก็บกากน้ำตาลขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30 เมตร บรรจุกากน้ำตาลปริมาณมหาศาลกว่า 8,700,000 ลิตร โดยสร้างขึ้นอย่างเร่งรีบและขาดการตรวจสอบอย่างรอบคอบ เพื่อให้ทันต่อความต้องการในช่วงสงคราม โดยรับเอากากน้ำตาลจากทางฝั่งแคริบเบียนมาเก็บไว้และส่งไปผลิตในภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่องมาตลอดเป็นเวลา 4 ปี
.
ในช่วงเวลาดังกล่าวมีเสียงดังของโลหะลั่นออกมาอยู่เรื่อย ๆ ผิวหน้าของถังก็เริ่มหลุดลอกออกมา รวมถึงมีการรั่วไหลของกากน้ำตาลออกมานองอยู่บนพื้นถนน พนักงานในโรงงานแห่งนี้ได้มีการแจ้งเตือนไปยังหัวหน้าและผู้มีอำนาจถึงความผิดปกติของโครงสร้างถัง แต่ก็มีเพียงการแก้ไขอุดรูรั่วเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เสียงของโลหะยังคงดังต่อเนื่อง จนชาวเมืองซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นครอบครัวผู้อพยพชาวอิตาลีและไอริชเริ่มคุ้นเคยกับการได้ยินเสียงดังก้องและเสียงโลหะดังเล็ดลอดออกมาจากถัง
.
จนกระทั่งตอนเที่ยงของวันที่ 15 มกราคมในปี 1919 อุณหภูมิในวันนี้ถือว่าสูงกว่าปกติ แต่ก็ไม่ถึงกับร้อนมาก เพราะยังอยู่ในช่วงฤดูหนาวของบอสตัน ถนน Commercial Street ยังคงคึกคักเหมือนเช่นทุกวัน เสียงคนงาน, เสียงกระทบพื้นของเกือกม้า, รถไฟที่เข้ามาเทียบชานชาลา, ที่สถานีดับเพลิง Engine 31 กลุ่มนักดับเพลิงนั่งทานอาหารกลางวันพลางเล่นไพ่กันอย่างเพลิดเพลิน, ชาวเมืองสองสามคนกำลังเก็บไม้ไปทำฟืนใกล้ ๆ กับบริเวณถังเก็บกากน้ำตาล, พนักงานที่ทำงานกะดึกอยู่ในบาร์ก็กำลังนอนหลับพักผ่อน…ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติสุข
.
แต่แล้วเวลา 12.40 น. ความสงบของวันนั้นถูกกลบด้วยเสียงแผดดังกึกก้องของถังโลหะที่ถูกแรงดันจากกากน้ำตาลปริมาณมหาศาล ตัวถังนั้นแตก โลหะที่ห่อหุ้มของเหลวหนืดข้นถูกฉีกและเปิดออกเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ กากน้ำตาลทะลักออกมา ไหลไปตามถนนแคบ ๆ ทั่วทั้งเมือง ราวกับคลื่นสึนามิ รายงานจาก Boston Post กล่าวว่ากากน้ำตาลที่ทะลักออกมานั้นมีความสูงประมาณ 4- 12 เมตร เคลื่อนตัวด้วยความเร็ว 56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า อาคาร บ้านเรือน รถยนต์ และกวาดล้างผู้คนจำนวนมากให้จมหายไป
.
ชาวเมืองทั้งสามที่กำลังเก็บฟืนใกล้ ๆ จุดเกิดเหตุ ถูกคลื่นกากน้ำตาลกลืนหายไปทันที คนหนึ่งจมอยู่ข้างใต้และเสียชีวิตจากการขาดอากาศ, อีกคนเสียชีวิตจากคลื่นที่ซัดรถรางพุ่งมากระแทกร่าง, ส่วนอีกคนบาดเจ็บสาหัสจากการที่ศรีษะไปกระแทกกับเสาไฟฟ้า
.
พนักงานบาร์ที่พึ่งตื่นขึ้นมาพบว่า บ้านของตนนั้นกำลังถล่ม ยังไม่ทันจะตั้งสติได้ ตัวเขาตกลงไปในคลื่นกากน้ำตาลจนเกือบจะจมลงไปข้างใต้ แต่โชคยังเข้าข้างที่เขายังพาตัวเองไปที่ที่นอนที่ลอยอยู่ใกล้ ๆ และเอาชีวิตรอดมาได้ อีกทั้งยังสามารถไปช่วยน้องสาวของตัวเองได้ทัน แต่น่าเสียดายที่แม่และน้องชายของเขาต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้
.
ความช่วยเหลือมาถึงอย่างรวดเร็วทั้งตำรวจและทหารเรือ ที่พยายามลุยฝ่ากากน้ำตาลที่มีลักษณะคล้ายทรายดูด ซึ่งเริ่มแข็งตัวจากอากาศเย็น เพียงไม่นานกลุ่มกู้ภัยก็เริ่มพาผู้รอดชีวิตออกจากซากปรักหักพังได้ รวมถึงการช่วยเหลือกลุ่มนักดับเพลิงที่สถานีดับเพลิง Engine 31 หลังจากพื้นชั้น 2 ของอาคารถล่มลงมาทับจนติดด้านใน การช่วยเหลือนักดับเพลิงเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะซากอาคารที่ทับถมกัน จนสุดท้ายนักดับเพลิงหนึ่งคนก็หมดแรงและจมกากน้ำตาลจนเสียชีวิตไปอีกคน
.
ภารกิจกู้ภัยดำเนินต่อไปอีกหลายวัน ยอดผู้เสียชีวิตสูงถึง 21 ราย และบาดเจ็บอีก 150 ราย เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อผู้คนเท่านั้น แต่สิ่งก่อสร้าง ต้นไม้ หรือแม้แต่สัตว์ต่าง ๆ ก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วย เนื่องจากกากน้ำตาลที่เหนียวหนืดได้แข็งตัวและเกาะติดไปกับทุกสิ่ง กระบวนการทำความสะอาดเป็นไปด้วยความยากลำบาก ต้องใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะล้างออก
.
ในปี 1925 บริษัท United States Industrial Alcohol Company (USIA) ถูกตัดสินให้มีความผิดจากเหตุการณ์ครั้งนี้ และต้องจ่ายเงินเป็นจำนวน 300,000 ดอลลาร์ (หากเป็นปัจจุบันจะอยู่ราวๆ 30 ล้านดอลลาร์) ให้แก่ผู้ประสบเหตุและความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด นับเป็นการพิจารณาคดีแพ่งที่ยาวนานและมีค่าเสียหายที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐแมสซาชูเซตส์ นอกจากนี้เหตุการณ์ดังกล่าวยังกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบทางอุตสาหกรรม เพื่อป้องกันภัยพิบัติที่คล้ายกันในอนาคตอีกด้วย
.
เวลาล่วงเลยมาจนถึงปี 1995 สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสวนสาธารณะริมท่าเรือ มีการวางแผ่นจารึกโลหะสีเขียวและสีขาว อยู่ที่บริเวณเดิมของถังกากน้ำตาล เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานอย่างเป็นทางการแห่งแรกและแห่งเดียวสำหรับภัยพิบัติครั้งนี้
โฆษณา