ย้อนรอยประวัติศาสตร์ “Pastel de nata” (ทาร์ตไข่) ขนมหวานประจำชาติของโปรตุเกส
โปรตุเกสเป็นดินแดนสุดขอบทวีปยุโรปที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมหลากสีสัน ที่สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลาย แต่ทั้งนี้ในบรรดาสมบัติล้ำค่าที่ครองใจคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวได้เป็นอันดับต้น ๆ ของโปรตุเกสนั่นก็คือ Pastel de Nata (ทาร์ตไข่) ขนมหวานแสนอร่อยนั่นเอง
.
เรื่องราวของ Pastel de Nata เริ่มต้นขึ้นช่วงศตวรรษที่ 18 ในอาราม Mosteiro dos Jerónimos ย่านเบเลม (Belém) ทางตะวันตกของลิสบอนประเทศโปรตุเกศ ปัจจุบันอารามแห่งนี้กลายเป็นจุดท่องเที่ยวที่สำคัญและเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก
.
แต่ในขณะนั้นอารามแห่งนี้มีบาทหลวงอาศัยอยู่มากมาย โดยกล่าวกันว่าบาทหลวงในอารามได้ใช้ไข่ขาวจำนวนมากในการทำให้เสื้อผ้าคงรูป (Starching clothes) ด้วยเหตุนี้จึงมีไข่แดงเหลือจำนวนมาก แม่ชีที่อาศัยอยู่ที่นี่จึงนำไข่แดงที่เหลือเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยนำไข่แดงมาทำเป็นไส้คัสตาร์ด แล้วอบกับแป้งเพสตรี้ ทำเป็นขนมหวาน Pastel de Nata หรือว่าทาร์ตไข่แสนอร่อยในแบบที่รู้จักในปัจจุบัน
.
อย่างไรก็ตามในช่วงแรก Pastel de Nata ยังคงเป็นขนมหวานที่สงวนไว้ในอารามเท่านั้น จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติเสรีนิยมในปี 1820 ทำให้สถาบันทางศาสนาถูกปิดตัวลง อดีตบาทหลวงและแม่ชีต้องออกมาขายพาสต้าที่โรงกลั่นน้ำตาลใกล้เคียงเพื่อหารายได้ และสูตร Pastel de Nata ก็ถูกขายให้กับเจ้าของโรงกลั่นน้ำตาลแห่งนี้
.
ในปี 1837 เจ้าของโรงกลั่นน้ำตาลจึงเปิดร้านเบเกอรี่ชื่อ Pastéis de Belém เพื่อขาย Pastel de Nata โดยเฉพาะ ด้วยเหตุนี้ Pastel de Nata จึงกลายเป็นที่รู้จักในกลุ่มคนทั่วไป และได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจนกลายมาเป็นหนึ่งในขนมประจำชาติของโปรตุเกส ซึ่งปัจจุบันร้านแห่งนี้ก็ยังคงเปิดกิจการอยู่ โดยมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางไปลิ้มลองสูตรต้นฉบับ จนเรียกได้ว่าเป็นร้าน Pastel de Nata ที่เก่าแก่ที่สุดเลยก็ว่าได้ค่ะ
.
เมื่อเวลาผ่านไปร้านอาหารและร้านเบเกอรี่หลายแห่งในโปรตุเกสก็เริ่มพัฒนา Pastel de Nata เป็นสูตรของตัวเองเพิ่มมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีสูตรใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่สิ่งที่ทำให้ Pastel de Nata จาก Pastéis de Belém แตกต่างออกไปคือสูตรลับที่ได้มาจากอดีตบาทหลวงและแม่ชีที่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์แบบดั้งเดิม
.
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Pastel de Nata กลายเป็นสัญลักษณ์ของมรดกการทำอาหารของชาวโปรตุเกส ซึ่งได้รับความนิยมในระดับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นลอนดอน นิวยอร์ก โตเกียว มาเก๊า บราซิล ประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ อีกมากมาย