11 ส.ค. เวลา 13:42 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] I LAY DOWN MY LIFE FOR YOU - JPEGMAFIA >>> ชีวิตกู เอาไปเลย!!!

-ชื่ออัลบั้มโคตรโรแมนติกแบบเอาเป็นเอาตายประหนึ่ง คลั่งรักวางพนัน Die For You อะไรประมาณนั้น ซึ่งอัลบั้มนี้ก็มีมุมแห่งการผ่อนลงให้ได้เห็นในบางเพลงอย่างสลักสำคัญ การเพิ่มบทบาทดนตรีสดตั้งแต่รีฟกีตาร์ไฟฟ้าสุดเกรี้ยวกราด การตีกลองแบบแจ๊ส รวมถึงบทบาทของแซมเปิ้ลที่ถูกจัดวางได้อย่างเป็นทิศเป็นทางมากขึ้น ว่าง่ายๆคือ ฟังแล้วเก็ตง่ายกว่างานที่แล้วมา ซึ่งไอ้การทดลองหยิบจับโน่นนี่ของ Peggy ได้สร้างความอิหยังวะมาแล้วนัดต่อนัด
-ถึงคราวที่ Peggy ผู้หลบทุกสูตร หลบทุกความแมส เริ่มมองหาการบาลานซ์ระหว่างความเลือดร้อนและความรื่นรมย์แห่งการกลับสู่รากเหง้าเพื่อ tribute ถึงวัฒนธรรมป็อปในอดีต ราวกับว่าเริ่มรู้ลิมิตตัวเอง การไม่รีบร้อนปล่อยอัลบั้มเดี่ยวไล่เลี่ยกับ SCARING THE HOES ในปีเดียวกันก็นับว่าไม่เร่งรัดเพื่อปลุกปล้ำอย่างไม่รีบร้อน 1 ปีกว่าถัดไปจึงไม่ใช่ระยะเวลายาวนานหรือถี่เกินไปที่จะเดิมพันด้วยชุดล่าสุดนี้ ฟังดู Peggy เข้าสู่โหมดใจเย็นลงรึเปล่า คิดว่าไม่ใช่ซะทีเดียวครับ
-ต่อให้แกหายหน้าหายตาจากซีนวงการเพลง พี่แกก็ได้เป็นหนึ่งในทีมโปรดิวซ์เซอร์อัลบั้ม Vulture 1 อัลบั้มคอลแลประหว่าง Kanye West ผู้เป็นไอดอลตลอดกาลของ Peggy และ Ty Dolla $ign ซึ่งก็ได้รับกระแสตอบรับที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก และผมก็จับทางไม่ออกด้วยซ้ำว่า ลายเซ็นต์ของพี่ Peggy มันอยู่ส่วนไหนของเพลงวะ? ถือเป็นเกียรติยศประจำตัวแกครั้งนึงในชีวิตก็แล้วกันครับ
-โชคชะตาก็ดันนำพาให้ได้วนเวียนกับหนึ่งในแรปเปอร์ร่วมโปรเจคท์ Vulture 1 ที่ตัวเองเคยไปมี beef อย่าง Freddie Gibbs ซึ่งก็มีเรื่องตั้งแต่ปี 2020 จากการที่ทั้งคู่ดิสไม่ประสงค์ออกนามจนไม่เป็นประเด็นหนาหูมากนัก จนกระทั่งการได้ร่วมลงเรือพี่ Ye ในโปรเจคท์นี้ที่ทุกคนต่างสนใจ มันเลยคุกกรุ่นและเป็นที่จับตาได้ชัดกว่า
-และเป็นปกติที่ทั้งคู่ถูกเชิญให้เป็นสักขีพยานให้ในงาน Listening Party ที่ประเทศอิตาลี และก็ต้องพักโรงแรมเดียวกันอยู่แล้ว แทนที่จะเคลียร์กันซึ่งๆหน้า แต่ Peggy เลือกที่จะเปิดศึกปั่น Freddie ผ่าน X ยาวเป็นหางว่าว ประมาณว่า “ไอ้มืดนี่ไม่ใช่ชาวแก๊งค์ที่แท้ทรูบ้าง ทำผู้หญิงท้องแล้วชิ่งหนี โคตร lame” จนชาวเน็ตต่างแซวติดตลกว่า “พวกมึงพักอยู่ในโรงแรมเดียวกัน ทำไมไม่ไปเคาะประตู เคลียร์ต่อหน้าต่อตากันให้สิ้นเรื่องวะ”
-ในเพลง JPEGULTRA! ก็ขยี้ยับเรื่องที่ Freddie โดนปล่อยภาพหลุดจากอดีตเมียโทษฐานที่ Freddie ทำเธอท้องแล้วชิ่งหนี จนเป็นที่มาของแฮชแท็ก Spreadie Gibbs อันแสนอื้อฉาว
-สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ คงไม่มีใครสามารถหยุดความดีดของอดีตทหารอากาศท่านนี้ได้ เพียงแต่ความโฉ่งฉ่างดังกล่าวไม่ได้ถูกเรียบเรียงให้แว๊บไปแว๊บมาเหมือนแต่ก่อนก็เท่านั้น
-เพลงเปิดอัลบั้ม i scream this in the mirror before i interact with anyone ชัดเจนมากๆในการไม่ยึดติดซาวนด์ industrial ที่เคยเอามายำอยู่ตลอด เปิดโสตสัมผัสแรกด้วยกลองแจ๊สอันแสนฉงนสนเท่ห์ ก่อนจะตบหน้าชาด้วยรีฟกีตาร์เมทัลอันแสนเกรี้ยวกราด ซึ่งก็แอบสวนทางกับชื่อเพลงในแบบที่ Peggy ยังคงเป็นคนเดิมที่ยังไม่รู้จักการประนีประนอม SIN MIEDO ซิงเกิ้ลที่ปล่อยมาลำดับแรกๆก็แสดงถึงอานุภาพความ Punk ที่ยังคงความโฉ่งฉ่างไม่จางหาย
-แรปเปอร์แคนาดาที่โดนหมายหัวทุกสารทิศอย่าง Drake ก็ไม่พลาดที่จะโดน Peggy บลัฟใส่ในเพลง New Black History และ it’s dark and hell is hot โดยชื่อของเพลงหลังดันไปตรงกับชื่ออัลบั้มสุดคลาสสิคของ DMX แรปเปอร์ผู้ล่วงลับ ผู้ซึ่งมีจุดร่วมความเกลียดขี้หน้า Drake เหมือน Peggy นั่นเอง
-ทั้งนี้การ troll ก็คือการ troll อยู่วันยังค่ำครับ ท่องไว้เสมอเลยว่า เราฟัง Peggy เพื่อความซาดิสม์สะใจมากกว่าการไฝ่หาความคมคายของวลี diss สุดเฉียบแหลมเป็นแน่แท้ สุดท้ายก็ไม่ต่างอะไรกับแคปชั่นเกรียนคีย์บอร์ดนั่นแหละ เพราะฉะนั้นจงรับแรงปะทะความบ้าคลั่งแบบเพียวๆ ช่างแม่ง lyrics ไปเลย
-ที่ผมได้บอกไปข้างต้นว่า อัลบั้มชุดนี้มีกลิ่นแห่งความ tribute ด้วย นั่นเป็นองค์ประกอบหลักในการทับซ้อนอารมณ์แห่งการคารวะที่อย่างน้อยก็ไม่ได้แสดงความคลั่งอันตรงทื่อแล้วละทิ้งความเดือดดั้งเดิมที่พวกผู้ใหญ่ทั้งหลายเคยทิ้งไว้เป็นที่โจษจัน mindset คล้ายๆกับการทำหนังของ Quentin Tarantino ที่ชอบสอดแทรก easter eggs ร่องรอย pop culture รุ่นปู่ทวดในหนังจนเป็นลายเซ็นต์แกไปแล้ว
-เฉกเช่น การทรีบิวท์ซ้อนทรีบิวท์อย่าง vulgar display of power ชื่อเพลงก็มาจากชื่ออัลบั้มของ Pantera เมื่อปี 1992 แซมเปิ้ลเพลงดังในอดีต 2 เพลง Hit ’Em Up ของ 2Pac และ ท่อนฮุกก็เป็นวลีเด็ดจากเพลง Bring The Pain ของ Method Man หนึ่งในสมาชิกระดับตำนานของ Wu-Tang Clan ซึ่งเป็นวงฮิปฮอปที่ Peggy เชิดชูมันอย่างสุดหัวใจ
-ในเพลง Exmilitary Peggy ก็ยังแสดงออกถึงการเชิดชูนี้ด้วยการขอใช้แซมเปิ้ลเดียวกับที่ Wu-Tang Clan เคยใช้ในเพลง Tearz ด้วยต่างหาก ชนิดที่ฟังแล้วช่างคุ้นหูเหลือเกินพี่เอ๋ย ต่อให้จะมีแซมเปิ้ลที่ซ้ำกับเพลง Tearz แต่โฟล์วกระซิบกระซาบ ASMR ของ Peggy กลับสร้างความโดดเด่นให้ได้ขนลุกซ่าใช้ได้ และการหักมุมด้วยรีฟกีตาร์ในช่วงท้ายก็สร้างอะดรีนาลีนได้อย่างไม่ซ้ำรอย
-การใช้แซมเปิ้ลซ้ำเพื่อนก็ยังมีให้เห็นในเพลง New Black History ซึ่งใช้เพลง Covered N Money ของ Future ที่ดันซ้ำรอยกับแขกรับเชิญ Vince Staples ที่เคยใช้มาแล้วในเพลง Senorita เฉยเลยฮะ แต่ Peggy ก็ยังเปิดทางให้นายวิ้นซ์ได้ปล่อยโฟลว์เปิดเพลงได้อย่างไหลลื่นเลยฮะ เช่นเดียวกับ Denzel Curry ที่ร่วมงานกับ Peggy ก็บ่อยอยู่ ยังคงได้รับการฉายแสงกับการแร็ปในบรรยากาศของแจ๊สในเพลง JPEGULTRA! ที่กินสัดส่วนได้ครึ่งนึงของเพลงเลยทีเดียว
-การจัดวางแซมเปิ้ลเป็นองค์ประกอบที่ผมอยากขยายความต่ออีกซักหน่อย เพราะนี่คือพัฒนาการของ Peggy ที่ผมสัมผัสได้ถึงความสุขุมที่กลายเป็นเสน่ห์ที่ไม่คาดว่าจะได้เห็น และดีมากๆที่เขาเริ่มที่จะบาลานซ์เพื่อรักษาลิมิตด้วยการ represent ในทำนองเช่นนี้
-ไม่ว่าจะเป็น I’ll Be Right There ที่อิทธิพลกอสเปล Kanye West ยุคเดบิวต์มาเต็มๆ และ either on or off the drugs ที่น้ำหนักอิทธิพลเพลงบูลส์กลายเป็นบริบทแห่งการแตะเบรคที่ดีในการมานั่งทบทวนถึงผลงานที่แล้วมา แต่ก็ใช่ว่าลูกเล่นการแซมเปิ้ลจะได้ผลทุกเพลง หากปล่อยให้เพลงอื่นทำหน้าที่มากจนเกินไป โดยเฉพาะเพลง Don’t Put Anything On the Bible พี่เล่นให้แซมเปิ้ลทำหน้าที่ครึ่งเพลงจนนึกว่าเราฟังเพลงผิดศิลปินไปแล้ว
-ในแทร็คสุดท้ายอย่าง i recovered from this ที่จบอัลบั้มด้วยความรู้สึกตรอมตรม Need Some Help ในภาวะจิตที่มีปัญหาจนกระทบต่อความสัมพันธ์รักที่ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ประโยคสุดท้ายจึงไม่ใช่แค่การอุทิศอัลบั้มแบบสุดทางแล้วเท่านั้น แต่ยังกล่าวโดยนัยถึงการผ่านอะไรมากมายระหว่างทาง ชนิดที่จำเป็นต้องทรมานจากสุขภาพจิตที่ไม่สู้ดี และการต้องสูญเสียคนรอบข้าง มันจึงเข้านิยามไตเติ้ลอัลบั้ม I LAY DOWN MY LIFE FOR YOU ในเมื่อ treat คนไม่ได้ treat ผ่านงานเพลงไปเลยอย่างที่เห็น
-Peggy ยังคงสนุกกับการปั่น ทำตัวเกรียน และทดลองโน่นนี่เน้นความโฉ่งฉ่างเช่นเคย แต่เริ่มพิเศษตรงที่ผ่อนตัวเองลงเพื่อให้การระบายความในใจมันชัดมากที่สุดเท่าที่มากได้ ในเมื่อผมอายุขึ้นเลข 3 แล้ว ผมก็คงต้องชอบชุดนี้มากเป็นพิเศษธรรมดา อย่างน้อยมันมีโน๊ตที่ชัดเจนจากบีทและแซมเปิ้ลให้ได้จับทางกันได้บ้าง อีกทั้งการเพิ่มบทบาทของดนตรีสดก็ช่วยเพิ่มคุณค่าแห่งความศักดิ์สิทธิ์ให้แหล่มชัดขึ้น
-เท่าที่ผ่านมาอุปสรรคอย่างนึงกับการฟังอัลบั้มของ Peggy ที่ผมไม่อยากปฏิเสธได้ก็คือ กูก็เหนื่อยเป็นเว้ย กว่าจะ complete ทั้งชุดเนี่ยเล่นเอาตามไม่ทันเช่นกัน แต่พอเข้าสู่ยุคการจับคู่กับ Danny Brown ในอัลบั้ม SCARING THE HOES เมื่อได้ทำงานกับรุ่นพี่ Peggy ก็เริ่มแตะเบรคเพื่ออนุญาตให้รุ่นพี่ได้ใส่อิทธิพลของตัวเองเข้าไปหน่อย
-พอลดทอนอีโก้ในการปล่อยของเพื่อคนอื่นนั้นอาจส่งผลต่อการทำงานเพลงของตัวเองในการเรียบเรียงด้วยมุมมองที่นิ่งขึ้น ไม่มีการ switch ไปมาแบบพวกสมาธิสั้น ผมจึงเกิดความรู้สึกเหนื่อยน้อยลงเมื่อได้ฟังอัลบั้มชุดล่าสุดนี้
ยุคเปลี่ยนผ่านกำลังเริ่มต้น
Top Tracks : i scream this in the mirror before i interact with anyone, SIN MIEDO, I’ll Be Right There, New Black History, it’s dark and hell is hot, vulgar display of power, Exmilitary, JPEGULTRA!, either on or off the drugs, i recovered from this
Give 8/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา