14 ส.ค. เวลา 18:14 • หนังสือ

นักเลงดาบข้ามมิติ ตอนที่ 4 เมืองลับแล กับดาบทั้งสองเล่มถูกขโมย

หลังจากที่อ้ายทิมได้รับแหวนผู้นำทาง เขาตั้งจิตอธิษฐานเพื่อค้นหาภารกิจต่อไป ทันใดนั้น แหวนก็เรืองแสงและฉายภาพของเมืองที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ
"นั่นคือเมืองลับแล" ดาบวิหกอัคคีกระซิบ "เมืองลึกลับที่ปรากฏและหายไปตามใจชอบ ไม่มีใครรู้ว่าอะไรซ่อนอยู่ในนั้น" เสียงดาบเมฆาพยัคฆ์ กระซิบขึ้นอีกว่า " ที่นั่นคือมุดหมายที่เราจะไปช่วยเหลือกันต่อ " อ้ายพยักหน้าอย่างเข้าใจ
อ้ายทิมตัดสินใจออกเดินทางทันที โดยมีแหวนผู้นำทางคอยนำทาง หลังจากเดินทางหลายวัน เขาก็มาถึงชายป่าทึบ ที่มีหมอกหนาลอยอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเดินเข้าไปในป่า อ้ายทิมรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในความฝัน ทิวทัศน์รอบตัวเปลี่ยนไปมาอย่างประหลาด อ้ายทิมรู้สึกง่วงนอนเต็มที เมื่อเจอต้นไม้อ้ายทิมจีงทำการปีนต้นไม้ เพื่อหาคาคกไม้นอน อ้ายทิม ถอดดาบเอนกายพักผ่อน
แต่หารู้ไม่ ดาบทั้งสองเล่มถูกขโมยไปตอนที่อ้ายทิม หลับไหลเข้าสู่ห้วงนิทรา
อ้ายทิมสดุ้งตื่นขึ้นมาตามสัญชาตญาณของนักเลงดาบ เมื่อดาบห่างตัวจะยิ่งร้อนใจ อ้ายทิมได้พลังงานมากขึ้นจากการหลับ แต่ทว่าบัดนี้ดาบทั้งคู่นั้นหายไป อ้ายทิมตั้งสติ ลงจากต้นไม้ แล้วเดินตามทางเดินเข้าไปอย่างระวังตัว อ้ายทิมเจอทางเข้าหมู่บ้านแต่ยังคงมีหมอกปกคลุมอยู่หนาแน่น
อ้ายทิมสังเกตว่าในหมู่บ้านมีแต่ผู้หญิงและเด็กผู้หญิง สักครู่อ้ายเห็นขบวนแห่ ที่มีแต่ผู้หญิงทั้งหมด มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งเสลี่ยงสีทอง ผ้าชุดสีขาวประดับ สังวาลย์ กำไร ตุ้มหู เป็นเครื่องทองทั้งหมด และก็นั่น ดาบเมฆาพยัคฆ์กับดาบวิหกอัคคี ไปรวมอยู่ในขบวนแห่ในหมู่บ้าน
อ้ายทิมตั้งสติพิจารณา อ้ายทิมร่ายคาถากำบังกาย พุทธังบังจักขุ มะอะอุไม่เห็นอิ มองไม่เห็นตัวกู ร่างกายอ้ายทิมเลือนหายไปในอากาศแล้วเดินตามขบวนแห่ในหมู่บ้านไป ขบวนแห่ไปหยุดที่ปรัมพิธี
ปรัมพิธีนั้น กับกำลังมีชาย 4 คน ถูกมัดมือไขว้แขนคุกเข่าอยู่กลางลาน หญิงสาวสวยแต่งองค์ทรงเครื่องทองคำ ขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์พิธี แล้วพูดขึ้นว่า " เริ่มทำการประหารได้ " อ้ายทิมครวญในใจผู้ชายพวกนั้นเขาทำผิดอะไรถึงจะต้องประหัตถ์ประหารกันถึงเพียงนี้
หญิงสาวคนนั้น สั่งให้เพชรฆาตใช้ดาบวิหกอัคคี กับดาบเมฆาพยัคฆ์ ไปประหารกลุ่มชายเหล่านั้น แต่ทว่า เพชรฆาตดึงดาบไม่ออกจากฝัก ทั้งสองเล่ม หญิงสาวผู้นำนั้นเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เอาคนพวกนี้ไปขังไว้ก่อน แล้วค่อยจัดพิธีประหารใหม่ อ้ายทิมเดินตามผู้คุมและนักโทษลงไปที่คุกใต้ดิน
เมื่อผู้คุมหญิงเดินออกไป อ้ายทิมคล้ายมนต์กำบังกายแล้วถามไถ่นักโทษทั้ง4 คนทันที
" พี่ชายทั้ง4 เหตุจึงมาถูกจับกุมอยู่แบบนี้รึ " อ้ายทิมกล่าว
ชายทั้งสี่ตกใจที่เห็นอ้ายทิมโผล่มาแบบนั้น
" พี่ชายอย่าพึ่งตกใจข้าเป็นคน แลมาตามหาขอที่ถูกขโมยมาเท่านั้น" อ้ายทิมกล่าวอีกครั้ง
" ข้าไอ้เที่ยง นั่นไอ้เจิด นั่นไอ้ทอง นี่ไอ้กุ้ม "
" พวกข้าเป็นพรานเข้าป่าล่าสัตว์ปกติ แต่พวกข้าไม่รู้มาที่นี่ได้อย่างไร ที่จำความได้พวกข้า ล่ากวางเนื้อสีทองมาแต่หุบเขาอีกฟ่าก เท่าที่จำความได้พวกข้าไม่ได้ยิงกวางทองตัวนั้นเลย รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่คุกนี่ทั้งหมด "
" แล้วเอ็งเล่าไปมาอย่างไร " เจิดถาม อ้ายทิม
" ข้าเผลอหลับไปบนคาคกไม้ตื่นมา ดาบของข้าถูกขโมยไปจึงเข้ามาตามหา ข้าใช้วิชากำบังเดินตามขบวนแห่เข้ามาหวังจะเอาดาบคืน แต่ไม่ได้ผล " อ้ายทิมกล่าว " ข้ารู้เพียงแต่ว่าที่นี่คือเมืองลับแลเท่านั้น พวกพี่ชายมีความอะไรให้การกระจ่างใจแก่ข้าได้บ้างหรือไม่ "
เที่ยงพยักหน้า แล้วพูดขึ้นว่า " ที่เอ็งรู้ไม่ผิดเลยเจ้าหนุ่ม หญิงสาวที่นั่งบัลลังก์ที่เอ็งเห็นนั่นคือเจ้าแม่ลาวดี เป็นผู้นำชาวบ้านที่นี่ นางคงมีพลังพิเศษที่คนอื่นไม่มี ถึงได้รับเลือกเป็นเป็นผู้นำ พวกนางบังคับให้พวกข้าทั้ง4 มีอะไรกับผู้หญิงทั้งหมู่บ้าน แต่พวกข้าทั้ง4ไม่มีใครยอม จู่ๆ นางก็สั่งให้บริวารจับพวกข้าไว้ประหนึ่งเหมือนนักโทษ และตัดสินโทษพวกข้าที่สังหารกวางทองตัวนั้น เรื่องก็มีเท่านี้แล แล้วนี่เอ็งจะคิดอ่านอย่างไรน้องชาย "
อ้ายทิมพยักหน้ารับแล้วเล่าถึงแผนการณ์ไว้ ให้พี่ชายทั้ง4คนได้ฟัง
" ข้าจะลอบเข้าไปแย่งดาบกลับคืนหากเราไม่มีดาบเราจะไม่รอดออกจากที่นี่ ที่สำคัญแหวนนำพา คงพาให้ข้ามาช่วยพวกพี่ชายกระมัง พวกพี่จงรอข้าอยู่ที่นี่ข้าจะไปดูลาดเลา ทางหนีทีไล่ให้ก่อนแล้วข้าจะกลับมา "
อ้ายทิมกำลังออกมาจากที่คุมขัง โดยที่ผู้คุมไม่ได้สงสัยอะไรเลย อ้ายทิมออกมาจากคุกใต้ดินแล้วกวาดสายตามองรอบๆ บ้านหลังใหญ่นั้นคงเป็นบ้านของลาวดีสินะ อ้ายทิมเลี่ยงที่มีผู้คนเยอะแอบย่องเข้าไปดูใกล้ๆ บ้านเรือนไทยหลังใหญ่
อ้ายทิมสังเกตว่า มีเวรยามเฝ้าอยู่หนาแน่น การลอบขึ้นไปแบบนี้ทำการณ์ได้ยากนัก อ้ายทิมใช้สติครู่หนึ่งจึงนึกออกว่า ใช้คาถานารายณ์แปลงรูป เขาร่ายคาถาจนขึ้นใจ อะวิสุนุสสานุสติ จงแปรเปลี่ยนเป็นผู้หญิงเถิด... ร่างกายอ้ายทิมกลายเป็นหญิงบริวารเจ้านางลาวดี
อ้ายทิมตัดสินใจขึ้นทางหลังเรือน แล้วแอบย่องไปฟังการสนทนาของเหล่าหญิงสาว อ้ายทิมเห็นว่าทุกคนเปลี่ยนกันดึงดาบวิหกอัคคี กับดาบเมฆาพยัคฆ์ออกจากฝักดาบ แต่ก็ไม่เป็นผล เจ้านางลาวดี กล่าวว่า สงสัยเราคงต้องจับไอ้หนุ่มนั้นมาเพื่อดึงดาบสองเล่มนี้แล้วกระมั้ง เห็นว่ากลิ่นตัวมันบริสุทธิ์หรอกที่ไม่จับมาด้วย
อ้ายทิมที่แอบฟังจึงถึงบางอ้อ แต่ทันใดนั้นอ้ายทิมเผลอไปเหยียบไม้กระดานดังลั่น เจ้านางลาวดี หั่นไปมองแววตาดุดัน " นั่นใครมาทำลับๆล่อๆ "
อ้ายทิมประหม่ามาก จึงกระแอม หนึ่งทีแล้วพูดหนีบเสียง " บ่าวเองเจ้าค่ะเจ้านาง " อ้ายทิมนั่งพุบก้มหน้า
แม่อิ่นเองหรือ แม่มาดึงดาบให้ข้าหน่อยสิ
อ้ายทิมตะลึงความคิดสับสนในใจไปหมดว่า หากดึงแล้วดาบออกจากฝักเจ้านางจะสงสัยไหม ตอนนี้กายเรายังบริสุทธิ์ไม่มีกลิ่นหากเราใช้เล่ห์กลกลิ่นที่ผิดศีลออกมาเจ้านางต้องรู้เป็นแน่
ทันใดนั้นเองเสียงสวรรค์มาช่วยอ้ายทิมไว้อีกครา บ่าวอีกคนของเจ้านางวิ่งหน้าตาตื่นขึ้นมาบนเรือน เจ้านางเจ้าขา เจ้านางเจ้าขา เกิดเรื่องแล้วเจ้าข้า เจ้านางรีบไปดูเองเถิดเจ้าข้า เจ้านางแลบ่าวไพร่ รีบลุกไปดูทั้งหมดเหลือทิ้งแต่ดาบวิหกอัคคีกับดาบเมฆาพยัคฆ์ไว้
และอ้ายทิมซึ่งแปลงร่างเป็นแม่อื่นอยู่
อ้ายทิมคล้ายมนต์นารายณ์แปลงรูปแล้วเข้าไปถือดาบมาครองไว้ เสียงกระซิบจากดาบทั้งคู่พลัยบังเกิด เสียงสาวน้อยแสนสวยดังขึ้น " นึกว่าจะไม่มาช่วยกันซะแล้ว " เสียงดาบวิหกอัคคีเอ่ย
" ข้านึกแล้วว่าเจ้าต้องทำได้ " เสียงดาบเมฆาพยัคฆ์เอ่ย
เหตุการณ์อลม่านที่เรือนใหญ่เจ้านาง แม่อิ่นถูกอ้ายทิม มัดมือมัดเท้า แล้วเอาผ้ามัดปากไม่ให้ส่งเสียง เจ้านางลาวดีเอ๊ะใจ แล้วแม่อิ่นบนเรือนนั้นคือใคร เจ้านางให้บ่าวไพร่ช่วยกันแกะเชือก เจ้านางรีบวิ่งไปดูบนเรือน ดาบสองเล่มหายไปแล้ว เจ้านางสั่งให้บริวารค้นหาตัวผู้บุกรุก
แต่เหตุการณ์มันไม่ได้ง่ายดายอย่างที่อ้ายทิมคิดขนาดนั้น เจ้านางลาวดี ใช้ดวงตานาคราชมองหาผู้บุกรุก " ข้าเห็นเจ้าแล้วเจ้าหนุ่ม " อ้ายทิมที่อยู่ในมนต์กำบังกายแต่บัดนี้คงใช้ไม่ได้เพราะดวงตานาคราชอานุภาพมหาศาลนัก
" เจ้าจะไปที่ใดหรือเจ้าหนุ่มน้อย ส่งดาบมาให้ข้าเสียเถิด " เจ้านางลาวดี กล่าวขึ้น
" พุทโธ่แม่นาง เอาดาบข้าไปก็ไม่มีผู้ใดชักออกจากฝักได้ ทำไมถึงอยากได้เล่า " อ้ามทิมถาม
" ดาบสองเล่มนั้นบรรพบุรุษข้าเคยใช้รบป้องกันหมู่บ้านมาก่อน แต่มีพวกโจรชั่วเมืองใหญ่มาแย่งชิงไป พวกมนุษย์นี่มีแต่พวกชั่วๆ รวมถึงเจ้าด้วย "
" ใจเย็นๆ แม่นางข้าเพียงมาแค่ทำการบางอย่างเท่านั้นไม่ได้มาทำลายหมู่บ้านแต่อย่างใด" อ้ามทิมกล่าว
" ช่วยไอ้พวกชั่วนั้นหนีรึ การณ์ที่เจ้าว่า " เจ้านางลาวดีกล่าว
" แน่นอนถ้ามาพาพวกเขาหนี อาจเป็นเพราะบัญชาสวรรค์ที่ยังไม่ให้พวกเขาถึงคราวตาย "อ้ายทิมอย่างมีชั้นเชิง
" ถ้าข้าไม่อนุญาตจะสวรรค์หรือนรกพวกเจ้าก็ไม่ไหนไม่ได้ทั้งนั้น " เจ้านางลาวดีกล่าวจบ
ก็เสกครรศรกับลูกศรมายิงใส่อ้ายทิม อ้ายทิมเพียงยืนจ้องมองศร อ้ายทิมนึกถึงครั้งที่พระพุทธเจ้าผู้พิชิตมารแล้วตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อลูกศรยิงพุ่งตรงหาอ้ายทิมแต่ทว่า ใกล้ถึงตัวอ้ายทิมลูกศรกลับกลายเป็นดอกไม้ ทำให้เจ้านางลาวดีตะลึง เพราะไม่เคยเจอะเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน
อ้ายทิมใช้ไหวพริบที่มี กล่าวขึ้นอีกครั้ง " อันตัวข้าบริสุทธิ์ใจและถือสัจจะเป็นแม่นมั่น แล้วเจ้านางเล่าประหารคนที่ไม่มีความผิดจะถือครองเป็นผู้นำชาวลับแลได้อย่างไร เจ้านางลองคิดดูเถิด " อ้ายทิมกล่าว
เจ้านางลาวดีนิ่งอยู่ครู่ แล้วเอ่ยขึ้นว่า แล้วเจ้ามีอันใดมาต่อรองกับข้าหรือ
อ้ายทิมเอ่ยขึ้น ข้าขอเอาชีวิตนี้เป็นเดิมพันจัดพิธีลุยไฟหากข้าพลาดพลั้งเสียทีแต่ประการใดข้าจะโดนไฟบรรลัยกัลป์เผาร่างให้มอดไหม้ในคราวเดียว
หากข้าไม่ผิดไฟจะไม่ไหม้ร่างของข้า ต่อไปเจ้านางต้องไปลุยไฟอย่างข้าเช่นกันเพื่อพิสูจน์ว่าคำพูดเจ้านางยังคงมีคำสัตย์เป็นแม่นมั่นดีอยู่
เจ้านางนิ่งคิดสักครู่ จึงตอบตกลงอย่างง่ายดาย พรุ่งนี้เช้าที่ปรับพิธีพิสูจน์ความจริง เจ้านางสั่งให้บริวารไปปล่อยตัวชาย4คนนั้นอกจากคุกเพื่อมาอาศัยเรือนรับรองที่จัดเตรียมไว้ให้
"พวกข้าดีใจเหลือที่เห็นน้องชายยังปลอดภัย แถมได้ดาบกลับคืนด้วย " เที่ยงกล่าว
" นี่สินะดาบในตำนาน มันดูมีมนต์ขลังสมคำล่ำลือ" เจิดกล่าว
" มันปล่อยตัวพวกเราแล้วหรือ " ทองถาม
" ยังหรอกพี่ พรุ่งนี้ข้าท้าเจ้านางลุยไฟเพื่อพิสูจน์คำสัตย์" อ้ายทิมตอบ
" น้องชายเจ้าไม่จำเป็นต้องทำดพื่อพวกเราขนาดนี้ " กุ้มพูดขึ้น
" ข้าให้สัจจะกับตัวเองแล้วว่าข้าจะไม่ชักดาบในเมืองลับแลนี่ ข้าจะใช้ปัญญาช่วยพวกพี่ๆ ออกจากเมืองนี้เอง " อ้ายทิมตอบ
รุ่งเช้าของอีกวัน ที่ปรัมพิธี อ้ายทิมรออยู่ที่หน้ากองไฟพร้อมเดินลุย เสียงฆ้องตีดังขึ้น ทุกสายตาต่างจ้องมองอ้ายทิมเป็นตาเดียว อ้ายทิมใช้เวลาไม่นานนักเดินผ่านกองไฟนั้นมาโดยสวัสดิภาพ
อ้ายทิมพายมือ ถึงตาเจ้านางแล้วขอรับ เจ้านางลาวดี ยืนอยู่หน้ากองไฟเสียงฆ้องดังขึ้น แล้วก็ทำการเดินลุยกองไฟ แต่เสื้อผ้า เครื่องทรงของเจ้านางเริ่มมอดไหม้ อ้ายทิมเห็นท่าไม่ดี จึงใช้กสินน้ำเรียกฟ้าฝน ทำให้ฝนตกดับไฟทันก่อนที่จะไหม้ตัวเจ้านาง
บริวารเจ้านางกู่เข้าประคองร่างเจ้านาง อ้ายทิมเดินเข้ามาหาเจ้านางแล้วพูดว่า
" พวกข้าสามารถออกจากที่นี่ได้แล้วหรือไม่ "
เจ้านางกล่าวกับอ้ายทิมว่า มิเคยมีผู้ใดกล้าหาญแบบเจ้ามาก่อน ก่อนจากกันข้ามีอะไรจะให้เจ้า อย่าได้ปฏิเสธข้า เพราะเจ้าช่วยข้าจากการถูกไฟไหม้ไว้
เจ้านางยื่น ห่อผ้าให้ แล้วบอกว่านี่คือดวงตานาคราช เผื่อเป็นประโยชน์แก่เจ้าในภายหน้า "
คนเมืองลับแลเดินมาส่ง5บุรุษออกจสกหมู่บ้าน เดินห่างออกหมู่บ้านมาได้สักพัก แล้วหันกลับไปดูเหลือเพียงต้นไม้ ใบหญ้า กับป่ารกทึบอยู่ตรงหน้า
" น้องชายพวกข้าขอขอบใจเจ้านัก พวกข้าไม่อะไรจะตอบแทน หากเจ้าผ่านบ้านดงปีกผา ให้เจ้าบอกรู้จักข้าพวกมันจะต้อนรับเจ้าเป็นอย่างดี " เที่ยงกล่าว ไปดีมาดีน้องชายแล้วพบกัน
อ้ายทิม ยืนมองพี่ชาญทั้ง4เดินทางกลับบ้านอย่างสวัสดิภาพ
อ้ายทิมได้ดวงตานาคราช ดูเหมือนจะมีเสียงร้องขอจากเมืองบาดาลเข้ามาให้ช่วยเหลือ...
#อ้ายทิมคนบ้าผู้ไม่มีดาบ
#ทีมพญาเม็งรายแอพดำ
#นิยายอิงประวัติศาสตร์
#ตำนานอิงประวัติศาสตร์
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน วิเคราะห์ แยกแยะ ตัวละครบางท่านอาจะมีอยู่จริง บางท่านอาจสมมุติขึ้นมา ตามจินตนาการของผู้แต่ง มิได้ล่วงเกินผู้ใดแต่อย่างใด เพื่อการดำเนินเรื่องให้เชื่อมโยงเท่านั้นหากผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
#คนจรดาบ
#นิยายนิทานพื้นบ้าน
โฆษณา