17 ส.ค. เวลา 06:36 • กีฬา

ทำไมลิเวอร์พูล ไม่ซื้อใครสักคน ช่วงซัมเมอร์

ไม่น่าเชื่อ แต่ก็เป็นเรื่องจริง ลิเวอร์พูลคือสโมสรเดียวใน 20 ทีมของพรีเมียร์ลีก ที่ไม่จ่ายเงินซื้อใครมาเสริมทัพแม้แต่คนเดียว ใช้เงินไปทั้งสิ้น 0 ปอนด์
ไม่ใช่แค่นั้น ยังเป็นทีมเดียวใน 5 ลีกใหญ่ยุโรป ที่ "ไม่มีขาเข้า" อีกด้วย
อย่างทีมอื่นๆ เขาไม่จ่ายเงินซื้อก็จริง (โบคุ่ม, ราโย บาเยกาโน่, เอ็มโปลี, มงต์เปลลิเยร์, เลอ อาฟร์) แต่ก็ยังไปเซ็นตัวฟรีมาบ้าง มีการขยับเอาตัวใหม่ๆ มาเสริม
ส่วนหงส์แดงไม่มีเสริมทัพเลยสักคนเดียว
 
ลิเวอร์พูลมีแต่ขาออก เช่น ขายฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ ให้เบรนท์ฟอร์ด (27.5 ล้านปอนด์) และ ปล่อยแคลวิน แรมซีย์ ให้วีแกนยืมตัว
นี่เป็นเรื่องที่น่ากังวลใจมากๆ เพราะแปลว่า ลิเวอร์พูลจะใช้ผู้เล่นชุดเดิม กลุ่มเดิม ไม่มีความสดใหม่ใดๆ มาสร้างความพิเศษขึ้นในสนาม
ฤดูกาลที่แล้ว ลิเวอร์พูลได้อันดับ 3 ในลีก แล้วคิดว่าอะไรล่ะ จะทำให้ผู้เล่นกลุ่มเดิม อัพเกรดขึ้นมาได้ทันควัน แล้วแซงหน้าทุกทีมเป็นอันดับ 1 ได้?
เรอัล มาดริด เก่งที่สุดในโลกอยู่แล้ว แต่ก็ยังเดินหน้าคว้าตัวคีลียัน เอ็มบัปเป้ เข้ามาเพิ่ม เพื่อทำให้ตัวเองยืนหนึ่งได้ตลอด ล่าสุดเอ็มบัปเป้ ก็ยิงได้ตั้งแต่นัดแรก ในเกมยูฟ่า ซูเปอร์คัพ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เดินหน้าปิดดีล ผู้เล่น 4 คน ในช่วงซัมเมอร์ และอย่างที่เราเห็นในนัดเปิดสนาม โจชัว เซิร์กเซ่ ยิงได้ตั้งแต่เกมแรกสุดเลย ช่วยทีมชนะ 1-0
ตัวผู้เล่นใหม่ๆ ย่อมสร้างมิติใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้ ทีมที่แย่ก็จะเก่งขึ้น ส่วนทีมที่เก่งอยู่แล้ว ก็จะเก่งขึ้นอีก
คู่แข่งแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่าง แมนฯ ซิตี้ ยังจ่ายเงินซื้อซาวินโญ่ ส่วนอาร์เซน่อลก็ลงทุนซื้อ ริคคาร์โด้ คาลาฟิโอรี่ แล้วลิเวอร์พูลที่อันดับต่ำกว่าทั้งสองทีมนั้น กลับไม่ซื้อใครสักคน
คำถามที่น่าสนใจก็คือ ทำไมลิเวอร์พูลถึงตัดสินใจแบบนั้น?
การไม่ยอมคว้าใครมาเสริมทัพ มีเหตุผลอะไรเบื้องหลัง เราจะลองไปหาคำตอบพร้อมๆ กัน
--------------------
1
[ 1- ขุมกำลังอยู่ในระดับที่โอเค ]
สมมุติว่า ลิเวอร์พูลไม่ซื้อใครเลยสักคน ทีมจะยังมีลุ้นแชมป์ไหม? คำตอบคือ มีลุ้นอยู่แล้ว เพราะตัวที่มี ก็ถือว่ามีคุณภาพสูงอยู่
1
ผู้รักษาประตู : อลิสซอน เบ็คเกอร์, ควีวิน เคลเลเฮอร์
เซ็นเตอร์แบ็ก : เวอร์จิล ฟาน ไดค์, อิบราฮิม่า โกนาเต้, ยาเรลล์ ควอนซาห์, โจ โกเมซ
1
ฟูลแบ็ก : เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, คอนเนอร์ แบรดลีย์, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน, คอสตาส ซิมิกาส
มิดฟิลด์ : อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์, โดมินิค โซโบสไล, วาตารุ เอ็นโด, เคอร์ติส โจนส์, ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์, ไรอัน กราเวนเบิร์ช
กองหน้า : โม ซาลาห์, โคดี้ กั๊กโป, หลุยส์ ดิอาซ, ดีโอโก้ โชต้า, ดาร์วิน นูนเยซ
เห็นได้เลยว่า แต่ละคนก็ดีกรีทีมชาติทั้งนั้น นี่ยังไม่นับกลุ่มดาวรุ่งอีกหลายคน เช่น เบน โด๊ค, สเตฟาน บายเซติช หรือ เทรย์ ไนโอนี่ ที่ลงมายิงประตูให้หงส์แดงได้ในเกมอุ่นเครื่องกับเซบีญ่าด้วย
ไม่ใช่แค่เรื่องคุณภาพ แต่ปริมาณก็ถือว่า "เยอะพอ" ที่จะโรเทชั่น ใน 4 ถ้วยได้สบายๆ
ใน 20 ทีมของพรีเมียร์ลีก ถ้าไม่นับฟูแล่ม กับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ล่ะก็ ลิเวอร์พูลคือทีมที่มีผู้เล่นบาดเจ็บน้อยที่สุด นั่นคือ 1 คนเท่านั้น คือบ๊อบบี้ คลาร์ก (ซึ่งก็อาจย้ายไปเรดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก) แปลว่ากลุ่มผู้เล่นชุดใหญ่ พร้อมมาก ฟิตสมบูรณ์สุดๆ ที่จะลงเล่นในพรีเมียร์ลีก
--------------------
[ 2- โค้ชใหม่ แนวทางใหม่ ]
1
ต่อให้ไม่มีนักเตะใหม่ แต่เมื่อลิเวอร์พูลเปลี่ยนจากเจอร์เก้น คล็อปป์ มาเป็นอาร์เน่อ สลอท นั่นหมายถึงวิธีการเล่นที่แตกต่างไปจากเดิม
แผนของสลอท ใช้ 4-3-3 เหมือนคล็อปป์ก็จริง แต่วิธีการเล่นไม่เหมือนกัน เช่น กลยุทธ์ inverted full back ที่อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ขยับมาเล่นกองกลางทุกเพลย์ในยุคคล็อปป์ ได้เปลี่ยนแปลงไป ในช่วงอุ่นเครื่อง เทรนต์เน้นทำหน้าที่ของตัวเองที่ริมเส้นด้านขวา มีขยับเข้ามาตรงกลางบ้าง แต่น้อยลงกว่าเดิมมาก
อีกเรื่องที่น่าสนใจเช่นกัน คือคำขวัญประจำตัวของคล็อปป์คือ "Intensity is our Identity" (ตัวตนของเราคือการวิ่งใส่อย่างสุดพลัง) ถ้าเสียบอลปั๊บ ต้องเกเก้นเพรสซิ่งเอาคืนให้ได้ใน 5 วินาที
2
แต่สำหรับสลอทนั้น ช่วงเกมอุ่นเครื่อง เราเห็นเลยว่า ลิเวอร์พูลไม่ได้วิ่งลืมตายแบบนั้น
ปรัชญาของสลอท คือเน้นการครองบอล ค่อยๆ เข้าทำ ไม่ต้องเร่งจังหวะ ไม่ต้องบี้สุดพลัง ไม่ต้องเล่นแบบเฮฟวี่เมทัลฟุตบอล
เคอร์ติส โจนส์ อธิบายว่า "เมื่อก่อน สิ่งที่เราทำคือรีบแย่งเอาบอลคืนให้เร็วที่สุด แล้วก็โจมตีกลับให้เร็ว ขึ้นลง ขึ้นลง แต่ตอนนี้เราเน้นการครองบอลเยอะขึ้น และจัดการคู่ต่อสู้ ไม่ให้ได้โอกาสครองบอล"
ส่วนฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ขยายความว่า "เราเล่นสไตล์ฟุตบอลที่สวยงามแบบดัตช์ ซึ่งผมคิดว่าดีนะ มันต่างจากเดิมเยอะเลย ตอนนี้เราจะโฟกัสที่การครองบอลเป็นหลัก"
การไม่ได้นักเตะใหม่ ไม่ใช่เรื่องดีอยู่แล้ว แต่ด้วยโค้ชคนใหม่ อาจทำให้รูปเกมของลิเวอร์พูล มีความแปลกใหม่กว่าเดิม จนคู่แข่งจับทางได้ยากขึ้นก็เป็นได้ แม้จะใช้กลุ่มผู้เล่นเซ็ตเดิม
--------------------
[ 3- ลิเวอร์พูลพยายามแล้ว แต่ดีลไม่สำเร็จ ]
ริชาร์ด ฮิวจ์ส ผู้อำนวยการกีฬาของสโมสร พยายามผลักดันให้เกิด 2 ดีลสำคัญขึ้นในช่วงซัมเมอร์ นั่นคือ แอนโธนี่ กอร์ดอน จากนิวคาสเซิล และ มาร์ติน ซูบีเมนดี้ จากเรอัล โซเซียดัด แต่มันก็ไม่สำเร็จทั้ง 2 ดีล
1
เคสของแอนโทนี่ กอร์ดอน ลิเวอร์พูลพร้อมจ่ายเงิน 30 ล้านปอนด์ บวกโจ โกเมซ คือตอนแรกนิวคาสเซิลตอบรับแล้ว เพราะต้องรีบขาย ก่อนพ้นวันที่ 30 มิถุนายน ไม่อย่างนั้น จะขาดทุนเกินลิมิต เป็นการทำผิดกฎ PSR และอาจโดนพรีเมียร์ลีกตัดแต้ม
อย่างไรก็ตาม นิวคาสเซิล ขายเอลเลียตต์ แอนเดอร์สัน ให้ฟอเรสต์ และ ยานคูบ้า มินเทห์ ให้กับไบรท์ตัน ได้สำเร็จในช่วงก่อนเดดไลน์พอดี ทำให้บัญชีไม่ติดตัวแดง และไม่จำเป็นต้องขายกอร์ดอนอีกแล้ว ดีลจึงล่มลงไปอย่างกะทันหัน
ส่วนกรณีของซูมิเมนดี้ ที่ฮิวจ์สต้องการซื้อมา เพื่อเป็นผู้เล่นหมายเลข 6 คนใหม่ เอามาแย่งตำแหน่งกับวาตารุ เอ็นโด นี่เป็นผู้เล่นที่ตรงสเป็กกับแผนของสลอทเป็นอย่างมาก
3
ซูบีเมนดี้ มีค่าฉีกสัญญา 51 ล้านปอนด์เท่านั้น ลิเวอร์พูลยื่นเข้าไปเรียบร้อย ซึ่งเรอัล โซเซียดัด ก็ไม่มีทางเลือก นอกจากจะต้องปล่อยให้นักเตะได้เจรจากับทีมหงส์แดง
แต่ซูบีเมนดี้เองต่างหาก ที่ตัดสินใจว่า "ไม่ย้าย" เขาอยากอยู่กับเรอัล โซเซียดัดต่อ
ในมุมของนักเตะก็เข้าใจได้ เขาเกิดที่เมืองซาน เซบาสเตียน อยู่กับทีมเยาวชนของโซเซียดัดตั้งแต่อายุ 12 ทั้งชีวิตเล่นอยู่กับสโมสรเดียวมาตลอด และปัจจุบันก็เหลือสัญญากับสโมสรอีก 3 ปีเต็ม (รับสัปดาห์ละ 49,000 ปอนด์)
คนบางคนอาจไม่ต้องการย้ายไปไหน ไม่อยากห่างครอบครัวและสโมสรที่ตัวเองรัก รายได้ 49,000 ปอนด์ อาจไม่เยอะมากถ้าเทียบกับนักเตะตัวท็อป แต่ถ้าเทียบกับคนทั่วไป ก็สัปดาห์ละ 2.2 ล้านบาท มากเกินพอแล้ว
ดังนั้นซูบีเมนดี้ จึงปฏิเสธข้อเสนอของหงส์แดงที่ได้เงินมากกว่า และ ได้เล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ขอสู้ต่อกับทีมเดิมต่อไป แม้จะได้เล่นแค่ในถ้วยยูฟ่า ยูโรป้าลีกก็ตาม
จะเห็นว่าลิเวอร์พูลพยายามแล้ว แต่ล้มเหลว อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ ริชาร์ด ฮิวจ์ส ก็ต้องรับผิดชอบไป
โดยเฉพาะเคสของซูบีเมนดี้ ที่โน้มน้าวยังไง ถึงหว่านล้อมให้นักเตะย้ายมาอยู่ทีมที่ได้เล่นแชมเปี้ยนส์ลีกไม่ได้?
--------------------
[ 4- เก็บเงินไว้ สำหรับใช้ซื้อบิ๊กเนมจริงๆ ในอนาคต ]
ณ เวลานี้ คือ 3 ตัวหลักของสโมสร คือ กัปตันทีมฟาน ไดค์, รองกัปตันอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ ดาวซัลโวซาลาห์ ทั้งหมดเหลือสัญญากับสโมสรแค่ 1 ปีเท่านั้น และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะอยู่หรือไป
ถ้าหากทั้ง 3 คน ตัดสินใจอำลาทีมพร้อมกัน ลิเวอร์พูลจะมีรูโหว่มหาศาล ในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก, แบ็กขวา และ ปีกขวา ซึ่งจำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลแน่ๆ ในการซื้อตัวแทนเข้ามา
ในซีซั่นนี้ ตัวผู้เล่นยังพอมีอยู่ สลอทยังใช้การนักเตะจากยุคคล็อปป์ได้ ดังนั้นก็ยื้อกันไปก่อน ให้ผ่านปีแรกกันไป
จากนั้น ในช่วงซัมเมอร์ปี 2025 คราวนี้ มีโอกาสสูง ที่ทีมหงส์แดงต้องลงตลาด และอาจต้องควักเงินเกิน 100 ล้านปอนด์ เพื่อคว้าบิ๊กเนมเข้ามาอุดรอยรั่ว ดังนั้นการเก็บเงินสดเอาไว้ พอพลาดตัวเลือกแรก ก็ยอมควักเงินซื้อนักเตะอ็อปชั่น B หรือ C ก็เป็นทางเลือกที่เข้าใจได้
--------------------
[ สรุป ]
แม้จะมีเหตุผลรองรับก็ตาม แต่การที่ลิเวอร์พูลไม่ซื้อใครเลยสักคน มันก็เป็นเรื่องที่แปลกจริงๆ
หงส์แดงไม่ซื้อ ไม่ยืม ไม่เซ็นตัวฟรี ไม่อะไรเลย ใช้เงิน 0 ปอนด์ถ้วน ในยุคที่ทีมอื่นซื้อกันโครมคราม
อาร์เน่อ สลอท จึงกลายเป็นโค้ชลิเวอร์พูลคนแรกในยุคพรีเมียร์ลีก ที่ไม่มีนักเตะใหม่ในตลาดซื้อขายรอบแรก
คือคนอื่น ไล่มาตั้งแต่รอย อีแวนส์ จนถึงคล็อปป์ ยังไงก็ได้ซื้อผู้เล่นใหม่มาสักคนสองคน แต่สลอทไม่ได้เลยสักตัว
ถ้ามองโลกแบบเห็นใจสโมสร ก็จะบอกว่า "การไม่ซื้อใคร คือการแสดงความเชื่อใจนักเตะที่มีอยู่" หรือไม่ก็ "ในซัมเมอร์ปี 2019 ซื้อแค่เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก กับ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ สองคน 3 ล้านปอนด์ ก็ยังได้แชมป์พรีเมียร์ลีก"
แต่ถ้ามองแบบไม่เห็นใจสโมสร ด้วยสายตาของแฟนบอลจำนวนมาก จะรู้สึกว่า FSG ไม่ยอมควักเงินออกมาใช้เลย ไม่กลัวเลยหรือ ว่าจะเดินตามหลังคู่แข่งทีมอื่นๆ ไปห่างกว่านี้
นอกจากนั้น ฝีมือของริชาร์ด ฮิวจ์ส ในฐานะผู้อำนวยการกีฬาคนใหม่ ก็โดนตั้งคำถาม ว่าดีลที่ไม่น่าจะปิดยาก ยังพลาด แล้วอนาคตถ้าต้องแย่งชิงนักเตะบิ๊กเนมกว่านี้ กับทีมอื่นๆ คุณจะเอาชนะได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม ซีซั่นกำลังจะเริ่มแล้ว และแฟนหงส์แดงอย่าท้อแท้ขนาดนั้นครับ ช่วงปรีซีซั่น ฟุตบอลก็ดูดีมีทรงอยู่นะ
ในทัวร์อเมริกา ชนะรวด 100% เฉือนอาร์เซน่อล, อัดแมนฯ ยูไนเต็ด พอกลับมาแอนฟิลด์ ก็ชนะเซบีญ่าในเกมส่งท้าย
เกมรุกวูบวาบ เกมรับพลาดน้อย ฟุตบอลของสลอท ดูมีอนาคตทีเดียวล่ะ
แต่เอาล่ะ ยังไงซะ มันก็แค่เกมอุ่นเครื่อง เมื่อลงแข่งขันจริงๆ เราจะรู้กันว่า จะรอดหรือร่วง ตอนนี้ขึ้นอยู่กับฝีมือของอาร์เน่อ สลอทแล้ว ว่าจะมอบความสุขทันทีให้แฟนหงส์ตั้งแต่นัดแรกเลยหรือไม่
และสำหรับแฟนบอลลิเวอร์พูลนั้น แม้จะบ่นยังไงก็ตาม แต่เมื่อวันแมตช์เดย์มาถึง สิ่งเดียวที่ทำได้ คือรวมใจ และภาวนาให้ทีมเอาชนะให้ได้
ทุกคนได้แต่หวังว่า ทีมจะสร้างความพิเศษขึ้นได้ในสนาม แม้จะไม่มีนักเตะใหม่เลยสักคนก็ตามที
โฆษณา