Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
จะเล่า
•
ติดตาม
17 ส.ค. เวลา 08:07 • ประวัติศาสตร์
รวม 5 ฆาตรกรโหดที่พรากชีวิตคนไปมากมาย
กลับมาอีกครั้งหลังจากห่างหายกันไปนาน โดยในวันนี้ทางเราได้กลับมาพร้อมกับความโหดเหี้ยมสุดสะพรึง
ความโหดเหี้ยมที่ว่านั้นจะเป็นใครไม่ได้เลยนอกซะจาก 5 คนนี้ที่เพียงเอ่ยชื่อก็ทำให้ผู้คนสยองได้ไม่น้อย
โดยทางเราได้รวบรวม 5 ฆาตกรที่โหดที่สุดในโลกที่หลายคนถูกกล่าวถึงในประวัติศาสตร์ ทั้งนี้ทั้งนั้นการจัดอันดับในครั้งนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้จัดทำเพียงเท่านั้น โดยการตัดสินขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการวัดความโหดเหี้ยม บางคนอาจพิจารณาจากจำนวนผู้เสียชีวิต ขณะที่บางคนอาจมองที่วิธีการหรือแรงจูงใจในการก่อเหตุก็ได้ โดยที่เราจะมาเริ่มกันจาก
1. โจเซฟ สตาลิน
โจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin) เป็นผู้นำสหภาพโซเวียตตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 1920 จนถึงปี 1953 และถือว่าเป็นหนึ่งในผู้นำที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ สตาลินมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสหภาพโซเวียตจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่ประเทศที่มีอุตสาหกรรมหนักมากมาย แต่การกระทำของเขาก็มาพร้อมกับความโหดเหี้ยมที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
การปกครองของสตาลิน
1. การปราบปรามทางการเมือง (Great Purge): ในช่วงปี 1936-1938 สตาลินดำเนินการปราบปรามทางการเมืองอย่างหนัก โดยมีการสังหารผู้คนจำนวนมากที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นศัตรูของรัฐ การปราบปรามนี้ทำให้ผู้คนนับล้านถูกประหารชีวิต หรือถูกส่งไปยังค่ายกักกัน (Gulags) ในไซบีเรีย
2. การบังคับเก็บเกษตรกรรมแบบรวมศูนย์ (Collectivization): สตาลินบังคับให้เกษตรกรยกที่ดินและสัตว์ของตนมาไว้ในระบบฟาร์มรวมศูนย์ ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในยูเครน ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ “Holodomor” การกระทำนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากความอดอยากนับล้านคน
3. บทบาทในสงครามโลกครั้งที่สอง: สตาลินเป็นผู้นำสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และมีบทบาทสำคัญในการพ่ายแพ้ของนาซีเยอรมนี แต่การตัดสินใจของเขาหลายครั้งก็นำไปสู่การสูญเสียชีวิตทหารและพลเรือนจำนวนมาก
ผลกระทบต่อสังคมและมรดกทางประวัติศาสตร์
สตาลินถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากการกระทำที่โหดเหี้ยมและไร้มนุษยธรรมของเขา ถึงแม้ว่าหลายคนจะยกย่องเขาในฐานะผู้นำที่สร้างความเข้มแข็งให้กับสหภาพโซเวียต แต่การกระทำของเขาก็ทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมาก มรดกของสตาลินยังคงเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบัน
2. อดอล์ฟ ฮิตเลอร์
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) เป็นผู้นำของพรรคนาซีในเยอรมนีและเป็นนายกรัฐมนตรี (Chancellor) ของเยอรมนีในช่วงปี 1933-1945 ฮิตเลอร์เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นผู้ก่อสงครามโลกครั้งที่สองและเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในเหตุการณ์ Holocaust ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตนับล้านคน
การขึ้นสู่อำนาจ
1. พรรคนาซี: ฮิตเลอร์เข้าร่วมพรรคนาซีในปี 1919 และกลายเป็นผู้นำพรรคในปี 1921 ภายใต้การนำของเขา พรรคนาซีเริ่มมีอิทธิพลทางการเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เยอรมนีเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจและความไม่มั่นคงทางการเมือง
2. การได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี: ในปี 1933 ฮิตเลอร์ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของเยอรมนี และในปี 1934 เขาก็รวมอำนาจโดยการประกาศตัวเองเป็น "Führer" (ผู้นำ) ของเยอรมนี รวมทั้งควบคุมทั้งรัฐบาลและกองทัพ
นโยบายและการกระทำของฮิตเลอร์
1. นโยบายทางเชื้อชาติ: ฮิตเลอร์เชื่อในแนวคิดทางเชื้อชาติที่เห็นว่าชาวเยอรมันเป็น "เผ่าพันธุ์อารยัน" ที่เหนือกว่า และถือว่าชาวยิว ชาวโรมา (Gypsies) ชาวสลาฟ และกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ เป็น "ผู้ต่ำต้อย" ฮิตเลอร์และพรรคนาซีได้เริ่มการสังหารหมู่ชาวยิวในเหตุการณ์ Holocaust ซึ่งทำให้ชาวยิวประมาณ 6 ล้านคนถูกสังหาร
2. การขยายดินแดน: ฮิตเลอร์ต้องการขยายดินแดนของเยอรมนีเพื่อสร้าง "Lebensraum" หรือพื้นที่สำหรับชาวเยอรมัน เขาบุกครองประเทศต่างๆ ในยุโรป ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง
3. สงครามโลกครั้งที่สอง: ฮิตเลอร์มีบทบาทสำคัญในการก่อสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเริ่มต้นในปี 1939 เมื่อเยอรมนีบุกโจมตีโปแลนด์ สงครามนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 70 ล้านคนทั่วโลก
ผลกระทบและมรดกทางประวัติศาสตร์
ฮิตเลอร์เป็นที่รู้จักว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่โหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ การกระทำของเขาไม่เพียงแต่ทำลายชีวิตผู้คนจำนวนมาก แต่ยังส่งผลให้เกิดความขัดแย้งและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทั่วโลก แม้ว่าสงครามโลกครั้งที่สองจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่มรดกของฮิตเลอร์ยังคงมีผลต่อการศึกษาประวัติศาสตร์และความเข้าใจเกี่ยวกับความโหดร้ายของมนุษย์
3. อีวาน ผู้โหดร้าย
อีวาน ผู้โหดร้าย (Ivan the Terrible) หรือที่รู้จักในชื่อ อีวานที่ 4 แห่งรัสเซีย (Ivan IV Vasilyevich) เป็นซาร์แห่งรัสเซียที่ครองราชย์ตั้งแต่ปี 1547 ถึง 1584 อีวานเป็นซาร์องค์แรกของรัสเซียและเป็นที่รู้จักทั้งในด้านการขยายอำนาจของรัสเซียและการปกครองที่โหดร้าย ซึ่งทำให้เขาได้รับฉายาว่า "ผู้โหดร้าย"
การขึ้นสู่อำนาจ
1. ขึ้นครองราชย์: อีวานที่ 4 ขึ้นเป็นแกรนด์พรินซ์แห่งมอสโกในปี 1533 ขณะที่ยังเป็นเด็ก หลังจากนั้นในปี 1547 เขาก็สถาปนาตนเองเป็นซาร์แห่งรัสเซีย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการปกครองของรัสเซีย
2. การขยายอำนาจ: ในช่วงครองราชย์ของเขา อีวานขยายดินแดนของรัสเซียอย่างมาก โดยเฉพาะในภูมิภาคคาซาน แอสตราฮาน และไซบีเรีย การขยายดินแดนเหล่านี้ทำให้รัสเซียกลายเป็นมหาอำนาจในยุโรปตะวันออก
การปกครองที่โหดร้าย
1. Oprichnina: อีวานจัดตั้งระบบการปกครองพิเศษที่เรียกว่า "Oprichnina" ในปี 1565 ซึ่งเป็นการแบ่งแยกดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซียออกมาอยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงของซาร์ และใช้กองกำลังพิเศษที่เรียกว่า "Oprichniki" เพื่อปราบปรามศัตรูทางการเมืองและชนชั้นสูงที่เขาคิดว่าเป็นภัยคุกคาม การปกครองนี้เต็มไปด้วยความรุนแรงและการประหารชีวิตอย่างโหดเหี้ยม
2. การสังหารหมู่ใน Novgorod: หนึ่งในเหตุการณ์ที่โหดร้ายที่สุดในช่วงการปกครองของอีวานคือการสังหารหมู่ประชาชนในเมือง Novgorod ในปี 1570 อีวานสั่งการให้ Oprichniki ทำการสังหารและทรมานประชาชนจำนวนมากเนื่องจากสงสัยว่าพวกเขาวางแผนก่อกบฏ
3. การสังหารลูกชายของตนเอง: อีวานยังเป็นที่รู้จักจากเหตุการณ์ที่เขาได้สังหารลูกชายของเขาเอง (ซาเรวิช อีวาน) ในปี 1581 หลังจากเกิดการโต้เถียงกันอย่างรุนแรง การกระทำนี้ทำให้เขารู้สึกสำนึกผิดอย่างรุนแรงตลอดชีวิตที่เหลือของเขา
ผลกระทบและมรดกทางประวัติศาสตร์
การปกครองของอีวานที่ 4 นำไปสู่การรวมอำนาจที่มากขึ้นในมือของซาร์ และทำให้รัสเซียกลายเป็นรัฐที่มีอำนาจในยุโรป แต่ในขณะเดียวกัน การกระทำที่โหดร้ายของเขาก็ได้สร้างความทุกข์ทรมานให้กับประชาชนจำนวนมาก และทิ้งร่องรอยของความโหดร้ายในประวัติศาสตร์รัสเซีย ชื่อของเขายังคงเป็นสัญลักษณ์ของการปกครองแบบเผด็จการและความโหดเหี้ยมจนถึงปัจจุบัน
4. ทีโอดอร์ โรเบิร์ต บันดี (Ted Bundy)
ทีโอดอร์ โรเบิร์ต บันดี (Theodore Robert Bundy) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ เท็ด บันดี (Ted Bundy) เป็นหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่มีชื่อเสียงและน่าสะพรึงกลัวที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา เขาก่อคดีฆาตกรรมผู้หญิงและเด็กสาวมากกว่า 30 รายในหลายรัฐของสหรัฐอเมริกาในช่วงทศวรรษ 1970 และอาจมีผู้เสียชีวิตจากน้ำมือของเขามากกว่านี้ ซึ่งบางส่วนเขาไม่เคยยอมรับ
การกระทำและพฤติกรรมของบันดี
1. เหยื่อของบันดี: บันดีมักจะเลือกเหยื่อที่เป็นผู้หญิงวัยรุ่นและเด็กสาวที่มีรูปร่างหน้าตาดี โดยเขามักจะใช้วิธีการหลอกลวงเหยื่อ เช่น แกล้งทำเป็นคนเจ็บหรือคนพิการเพื่อเรียกความเห็นใจ จากนั้นจึงลักพาตัวและนำเหยื่อไปยังสถานที่ลับเพื่อทำร้ายและฆ่าทิ้ง
2. ลักษณะทางจิตวิทยา: บันดีมีบุคลิกที่น่าดึงดูดและมีเสน่ห์ เขาเป็นคนที่ดูดี มีความมั่นใจ และสามารถหลอกลวงคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี แม้ว่าในความเป็นจริงเขาจะเป็นคนที่มีความผิดปกติทางจิตอย่างรุนแรง บันดีเป็นคนที่หลงตัวเองและขาดความสำนึกผิด หรือความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น
3. การหลบหนีและการจับกุม: บันดีถูกจับกุมหลายครั้ง แต่เขาสามารถหลบหนีจากการควบคุมตัวได้ถึงสองครั้ง หนึ่งในนั้นคือการหนีออกจากคุกในรัฐโคโลราโดในปี 1977 เขาหลบหนีไปยังรัฐฟลอริดาและก่อคดีฆาตกรรมอีกหลายคดี ก่อนที่จะถูกจับกุมและถูกตัดสินโทษประหารในที่สุด
การพิจารณาคดีและการตัดสินโทษ
1. การพิจารณาคดี: บันดีถูกนำตัวเข้าสู่การพิจารณาคดีในรัฐฟลอริดาในปี 1979 สำหรับคดีฆาตกรรมสองนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยฟลอริดาสเตท เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดและได้รับโทษประหารชีวิต นอกจากนี้เขายังถูกตัดสินโทษในคดีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมและการทำร้ายร่างกาย
2. การประหารชีวิต: หลังจากการต่อสู้ทางกฎหมายหลายปี บันดีก็ถูกประหารชีวิตด้วยการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้าเมื่อวันที่ 24 มกราคม 1989 ที่เรือนจำในรัฐฟลอริดา การประหารชีวิตของเขาได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและประชาชนอย่างมาก
ผลกระทบและมรดกทางประวัติศาสตร์
คดีของเท็ด บันดีเป็นหนึ่งในคดีที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางและมีผลกระทบต่อการบังคับใช้กฎหมายและความเข้าใจเกี่ยวกับฆาตกรต่อเนื่อง บันดีถูกมองว่าเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของฆาตกรที่มีความผิดปกติทางจิต แต่สามารถซ่อนความโหดร้ายภายใต้ภาพลักษณ์ที่ดีงามได้ เรื่องราวของบันดียังเป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังสือ ภาพยนตร์ และสารคดีหลายเรื่อง
5. ฆ่ามาร
ฆ่ามาร หรือที่รู้จักกันในภาษาอังกฤษว่า "Jack the Ripper" เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ ซึ่งก่อเหตุฆาตกรรมในย่านไวท์แชปเพิล (Whitechapel) ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ฆาตกรรายนี้ไม่เคยถูกจับกุมหรือระบุตัวตนได้จริงๆ ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในปริศนาที่ลึกลับที่สุดในประวัติศาสตร์อาชญากรรม
การกระทำของฆ่ามาร
1. เหยื่อของฆ่ามาร: ฆ่ามารมุ่งเป้าไปที่ผู้หญิงที่ทำงานเป็นโสเภณีในย่านไวท์แชปเพิล เหยื่อของเขามักถูกพบในสภาพที่ร่างกายถูกเฉือนหรือถูกชำแหละอย่างโหดเหี้ยม เหยื่ออย่างน้อย 5 รายที่ถูกเรียกว่า "The Canonical Five" ถูกสังหารในลักษณะที่คล้ายคลึงกันระหว่างเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน 1888
2. วิธีการสังหาร: ฆ่ามารมีวิธีการฆ่าที่โหดร้ายและรุนแรง โดยเหยื่อส่วนใหญ่ถูกเฉือนคอและถูกชำแหละอวัยวะภายในออกมา บางครั้งเขายังเก็บเอาอวัยวะของเหยื่อไปด้วย สิ่งนี้ทำให้มีความเชื่อว่าเขาอาจมีความรู้ทางการแพทย์หรือเป็นศัลยแพทย์
ปริศนาและการสืบสวน
1. การสืบสวน: คดีฆ่ามารได้รับความสนใจจากสาธารณชนและสื่อมวลชนอย่างกว้างขวาง ตำรวจลอนดอน (Scotland Yard) ได้ทำการสืบสวนคดีนี้อย่างหนัก แต่ก็ไม่สามารถระบุตัวฆาตกรได้ จดหมายหลายฉบับที่อ้างว่าเขียนโดยฆ่ามารถูกส่งถึงตำรวจและสื่อมวลชน แต่ไม่มีหลักฐานใดที่พิสูจน์ได้ว่าจดหมายเหล่านี้มาจากฆาตกรจริง ๆ
2. ทฤษฎีและผู้ต้องสงสัย: มีผู้ต้องสงสัยหลายคนที่ถูกพิจารณาว่าอาจเป็นฆ่ามาร รวมถึงชาวต่างชาติ ศัลยแพทย์ ช่างตัดเสื้อ และแม้แต่สมาชิกของราชวงศ์อังกฤษ ทฤษฎีต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวตนของฆ่ามารถูกเสนอขึ้นมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์และยังคงเป็นที่สนใจของนักสืบสมัครเล่น นักประวัติศาสตร์ และนักเขียนมาจนถึงปัจจุบัน แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด
ผลกระทบและมรดกทางวัฒนธรรม
ฆ่ามารกลายเป็นสัญลักษณ์ของความโหดร้ายและความลึกลับในวัฒนธรรมสมัยนิยม เรื่องราวของเขาถูกนำมาเล่าในหนังสือ ภาพยนตร์ และสารคดีมากมาย รวมถึงกลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างตัวละครที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมและความลึกลับในผลงานวรรณกรรมและภาพยนตร์อื่นๆ อย่างต่อเนื่อง
ปริศนาของฆ่ามารยังคงเป็นที่สนใจและถูกพูดถึงแม้เวลาจะผ่านไปกว่าศตวรรษแล้ว ความไม่แน่นอนและความลึกลับของตัวตนที่แท้จริงของฆาตกรรายนี้ทำให้เขากลายเป็นตำนานที่ยังคงเป็นที่สนใจในโลกของอาชญากรรม
ทุกคนเหล่านี้มีเรื่องราวและการกระทำที่น่ากลัวและเป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์ แต่ความโหดเหี้ยมของแต่ละคนอาจขึ้นอยู่กับวิธีที่พวกเขากระทำหรือความเสียหายที่พวกเขาก่อขึ้นกับสังคมโดยรวม
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปจาก
https://images.app.goo.gl/GvVYUf4W7F8Df4A19
https://images.app.goo.gl/3qRxab3w87sWocPC9
https://today.line.me/th/v2/article/yWjVmk
https://images.app.goo.gl/NnGNX2TAcs1kiVEK6
https://images.app.goo.gl/3SsET3ms4mv8141G8
ข่าวรอบโลก
เรื่องเล่า
ประวัติศาสตร์
1 บันทึก
2
1
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย