18 ส.ค. เวลา 16:43 • กีฬา

มนุษย์ที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก ยังเคยพลาดพลั้ง สตอรี่ของจอมสปีดอันดับหนึ่งในปฐพี "ยูเซน โบลต์"

ครั้งหนึ่งยูเซน โบลต์ เคยตกรอบโอลิมปิกอย่างน่าอับอาย ด้วยการไม่ผ่านรอบคัดเลือก แต่แค่ 4 ปีจากวันนั้น เขากลับมาคว้าเหรียญทองได้สำเร็จ พร้อมทั้งกลายร่างเป็นมนุษย์ที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก
1
ชีวิตของคนเรา บางทีมันก็พลิกผันในชั่วพริบตาจริงๆ
ย้อนกลับไปในปี 2004 ยูเซน โบลต์ นักวิ่งวัย 18 ปีชาวจาเมก้า ได้โควต้าไปแข่งวิ่ง 200 เมตรชาย ในโอลิมปิกที่เอเธนส์
1
โบลต์ไม่ค่อยอยากไป เพราะร่างกายยังไม่พร้อม เขาเพิ่งหายบาดเจ็บที่แฮมสตริงและข้อเท้า คือรู้ตัวว่าไปแข่งก็แพ้แน่ ดังนั้นเอาโควต้าให้นักวิ่งคนอื่น ที่ร่างกายพร้อมกว่าเขาดีกว่า
อย่างไรก็ตาม โค้ชของโบลต์ ชื่อ ฟิตซ์ โคลแมน สั่งให้เขาไปโอลิมปิก ทำให้โบลต์ต้องจำใจยอมไป ทั้งๆ ที่ลึกๆ แล้วไม่อยาก
สุดท้ายในการแข่งวิ่ง 200 เมตรที่เอเธนส์เกมส์ โบลต์เข้าเส้นชัยด้วยความเร็ว 21.05 วินาที ผิดฟอร์มมากๆ จนตกรอบแรก ไม่ผ่านไปวิ่งในรอบควอเตอร์ไฟนอล
ถามว่าช้าขนาดไหน? สถิติวิ่ง 200 เมตรของ บิว-ภูริพล บุญสอน ในซีเกมส์อยู่ที่ 20.37 วินาที เร็วกว่าโบลต์ ในโอลิมปิกปี 2004 ด้วยซ้ำ
พอโอลิมปิกจบ กลับถึงจาเมก้า เขาโดนผู้คนและสื่อมวลชนด่ายับ ว่าบาดเจ็บแล้วจะไปแข่งทำไม เปลืองงบประเทศ ถ้าไม่พร้อมก็เอาโควต้าให้คนอื่นซะ มาตกรอบแรกแบบนี้มันน่าอายมาก
นั่นคือเหตุผลที่โบลต์ ตัดสินใจแยกทางกับ ฟิตซ์ โคลแมน ทันที เพราะโค้ชไม่ฟังสิ่งที่เขาบอกเลย ว่าไม่อยากไป คือมันยังไม่พร้อมจริงๆ
หลังจากแยกทางกับโคลแมน โบลต์เข้าไปขอความช่วยเหลือจากโค้ชทีมชาติอีกคน ที่ชื่อว่า เกล็น มิลส์ ให้ช่วยรับเขาไปดูแลที
เกล็น มิลส์ คือโค้ชผู้คร่ำหวอดในวงการกรีฑาจาเมก้า มีประสบการณ์ในการปั้นเยาวชนมาแล้วหลายคน หนึ่งในนั้นคืออซาฟา พาวล์ รุ่นพี่ทีมชาติ ดังนั้นโบลต์มั่นใจว่า ถ้าหากได้โค้ชเก่งๆ แบบนี้มาช่วยเหลือ เขาจะพัฒนาฝีเท้าให้ดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอน
1
ตัวโค้ชมิลส์เองก็มองเห็น ว่าโบลต์เป็นนักกีฬาที่มีพรสวรรค์ มีรูปร่างสูงยาว และกล้ามเนื้อทรงพลัง สามารถก้าวไปไกลระดับโลกได้ เพียงแต่ต้องได้รับคำชี้แนะที่ถูกต้อง
เมื่อโค้ชมิลส์รับโบลต์มาดูแล สิ่งแรกที่เขาทำ ไม่ใช่สอนเรื่องเทคนิคการวิ่ง แต่เป็นการพาโบลต์ไปหาหมอ
ในวัย 18 ปี โบลต์ได้รับบาดเจ็บบ่อยมาก เดี๋ยวเจ็บ เดี๋ยวหาย วนไปวนมา มิลส์มองว่า เรื่องนี้อาจจะมีปัญหาอะไรลึกๆ ซ่อนอยู่ ดังนั้น ต้องตรวจร่างกายยอย่างละเอียดทุกแง่มุม
ถ้าร่างกายยังไม่สมบูรณ์ อย่าเพิ่งไปคิดไกล ถึงขั้นจะไปโอลิมปิก มันต้องค่อยๆ ก้าวไปทีละสเต็ป
เมื่อทำการตรวจทั้งร่างกาย ค้นพบว่า โบลต์มีอาการกระดูกสันหลังคด เอียงไปทางขวา นี่คือเหตุผลที่เขาบาดเจ็บตามจุดต่างๆ โดยไม่รู้ตัว
แพทย์ที่จาเมก้า แนะนำให้โบลต์เลิกเล่นกรีฑา เพราะยื้อไปก็มีแต่จะปวดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม โค้ชมิลส์ไม่ยอมแพ้ เขาส่งโบลต์ไปรักษากับ ดร.ฮันส์ มุลเลอร์-โวลฟาร์ท หัวหน้าทีมแพทย์ของสโมสรบาเยิร์น มิวนิค ที่ประเทศเยอรมนี
ดร.ฮันส์ เป็นที่รู้จักในวงการฟุตบอลว่า "คุณหมอเทวดา" คือถ้าจะมีใครสักคน รักษาอาการเหล่านี้ได้ ดร.ฮันส์ คงเป็นหนึ่งในนั้น
ดร.ฮันส์ มีประสบการณ์ ในการรักษานักกีฬาระดับโลกมาแล้วมากมาย เช่น ไมเคิล โอเว่น (อังกฤษ), โรนัลโด้ (บราซิล) และ เจอร์เก้น คลินส์มันน์ (เยอรมัน) และนับว่าโชคดี ที่ดร.ฮันส์ ตัดสินใจรักษาให้โบลต์
หลังเข้ารับการรักษา 2 ปี โบลต์ก็หายขาด อาการกระดูกสันหลังคด กลับมาเป็นปกติ นั่นทำให้เขาเริ่มวางเป้าหมายในการวิ่ง นั่นคือได้ไปแข่งโอลิมปิกเกมส์ในปี 2008 ที่กรุงปักกิ่ง
ในช่วงการเทรนนิ่งนั้น โค้ชมิลส์ได้เผยเคล็ดลับว่า การจะพัฒนาโบลต์ให้เก่งขึ้นได้นั้น จำเป็นต้องเข้าใจในตัวนักกีฬาอย่างลึกซึ้ง
พื้นฐานของโบลต์เป็นคนสนุกสนานเฮฮา และมีนิสัยชิลๆ สบายๆ (Laid-Back) แต่ในอดีต ตอนร่วมงานกับโค้ชคนเก่า ฟิตซ์ โคลแมน ช่วงนั้นโบลต์เครียดเกินไป เพราะโค้ชสั่งให้ซ้อมอย่างหนัก ทั้งวิ่ง ทั้งเข้าโรงยิม เพื่อจะเปลี่ยนโบลต์ให้กลายเป็นนักวิ่งระดับโลกให้ได้เร็วที่สุด
แต่กับโค้ชมิลส์นั้น เขาเข้าใจนักกีฬา จึงไม่มีการกดดันอะไรมาก ไปตามจังหวะ ถ้าบางครั้งโบลต์จะขี้เกียจ ก็คือขี้เกียจ จะไปบี้ให้ตั้งใจตลอดเวลา มันมีแต่จะทำให้นักกีฬาเครียดเกินควรก็เท่านั้น
โบลต์ อธิบายเรื่องนี้ว่า "ผมคิดว่ามันยากนะที่คุณจะมุ่งมั่นตลอดเวลา โค้ชมิลส์เขาปล่อยให้ผมได้ขี้เกียจบ้างในบางครั้ง แต่ถ้าวันไหน ผมทำเกินลิมิตเช่นขาดซ้อม เขาก็จะต่อว่าผมหนักๆ ทันที"
1
ในปี 2007 โบลต์ อายุ 20 ปี เขาพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดมาก และเป็นนักวิ่งระดับท็อปไฟว์ของโลก ในประเภท 200 เมตรชาย โดยโค้ชมิลส์ก็แนะนำว่า เขาสามารถเอาดีได้ในการวิ่ง 400 เมตรด้วย
เพราะขายาวๆ ของโบลต์ เหมาะกับการวิ่งที่มีระยะไกลนิดนึง เช่น 200 หรือ 400 เมตร เพราะโบลต์คือม้าตีนปลาย
1
ส่วนวิ่ง 100 เมตรนั้น ตามทฤษฎีแล้ว โบลต์ "สูงเกินไป" ด้วยส่วนสูง 195 ซม. ที่มากกว่านักกีฬาคนอื่น แปลว่า จะมีปัญหาเรื่องการออกตัว ที่ช้ากว่าคนอื่นเสมอ และโอกาสไปถึงเส้นชัยคนแรกก็เป็นไปได้ยาก
อย่างไรก็ตามโบลต์ ยืนยันว่าเขาต้องการลงแข่งวิ่ง 100 เมตรชายจริงๆ เพราะมันคือจุดสูงสุดของวงการกรีฑา ไม่มีการวิ่งอีเวนต์ไหน จะได้รับความสนใจมากไปกว่า วิ่ง 100 เมตรอีกแล้ว
ถ้าเขาอยากดัง อยากรวย อยากเป็นเลเจนด์ ยังไงก็ต้องเข้าร่วมการแข่งวิ่ง 100 เมตรให้ได้
18 กรกฎาคม 2007 โค้ชมิลส์อนุญาตให้โบลต์ ลงแข่งวิ่ง 100 เมตรชายเป็นครั้งแรก ในการแข่งขันกรีฑาที่ประเทศกรีซ
ปรากฏว่าโบลต์เข้าเส้นชัยด้วยเวลา 10.03 วินาที ยังผ่านกำแพง 9 วินาทีไม่ได้ เวลาก็ยังถือว่ายังห่างไกลกับสถิติโลกครั้งที่ 1 ของอซาฟา พาวล์ (9.77) อยู่พอสมควร
โค้ชมิลส์ถามโบลต์อย่างชัดเจนว่า ถ้าเขาเลือกวิ่ง 400 เมตร เขาจะเป็นแชมเปี้ยนที่ไม่มีใครต้านทานได้ แต่ถ้าวิ่ง 100 เมตร ก็พูดยาก เพราะมีคนที่วิ่งเร็วกว่าเขาอยู่หลายคน ทั้งอซาฟา พาวล์ และ ไทสัน เกย์
เมื่อรู้แบบนี้แล้ว จะยอมทิ้งวิ่ง 400 เมตร ที่การันตีเหรียญทองแน่ๆ แล้วไปเอาดีในระยะ 100 เมตรอยู่หรือเปล่า?
2
คำตอบของโบลต์คือ ยังไงก็อยากวิ่ง 100 เมตรจริงๆ ทำให้โค้ชมิลส์ ยอมรับทางเลือกนั้น ถ้าจะเอาจริง ก็ลุยกันให้เต็มที่ไปเลย
1
นับจากวันนั้น โค้ชมิลส์ ก็เริ่มกระบวนการจับโบลต์ซ้อมอย่างหนัก เคี่ยวเข็ญกันให้สุดๆ ละเว้นปาร์ตี้ทุกอย่าง
กรอบเวลาแค่ 1 ปี ในการสร้างนักกีฬาสักคนที่ไม่เคยแข่ง 100 เมตรชายมาก่อน ให้ก้าวไปสู่ระดับโอลิมปิกได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่โค้ชมิลส์ก็เชื่อมั่นว่าโบลต์สามารถทำได้
โบลต์เล่าว่า "โค้ชมิลส์ บอกผมว่า ถ้าผมแข็งแกร่งขึ้น และมีสมาธิมากขึ้น ผมสามารถเป็นนักวิ่งอันดับหนึ่งของโลกทั้ง 100 และ 200 เมตรชายได้เลย"
หลังจากซุ่มซ้อมอยู่ 8 เดือน เข้าสู่เดือนพฤษภาคม 2008 โบลต์ลงแข่งขันวิ่ง 100 เมตรชาย ในการแข่งรีบ็อกซ์ กรังด์ปรีซ์ ที่นิวยอร์ก
ปรากฏว่า โบลต์สร้างความเหลือเชื่อ ด้วยการวิ่งเข้าเส้นชัย ด้วยเวลา 9.72 วินาที! ทำลายสถิติโลกครั้งที่ 2 ของอซาฟา พาวล์ (9.74) ได้สำเร็จ
เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร มาจากไหน และเพิ่งแข่งวิ่ง 100 เมตร เป็นครั้งที่ 4 ในชีวิต กลายเป็นเจ้าของสถิติโลกแบบเซอร์ไพรส์มาก
ในช่วงออกสตาร์ต 10 เมตรแรก โบลต์ไม่ได้ขึ้นนำก็จริง แต่หลังจากนั้นด้วยขายาวๆ ของเขา มันสร้างความได้เปรียบอย่างชัดเจน โบลต์ค่อยๆ วิ่งฉีกคู่แข่ง ก่อนเข้าเส้นชัยได้อย่างสวยงามมากๆ
เมื่อคว้าชัยชนะได้สำเร็จ ตัวโบลต์ไม่ได้ดีใจขนาดนั้น เขาบอกว่า "สถิติโลกไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เพราะวันพรุ่งนี้คุณก็โดนทำลายได้ แต่เหรียญทองโอลิมปิกต่างหากที่สำคัญกว่า ถ้าคุณคือแชมป์โอลิมปิก คุณจะยืนเป็นอันดับหนึ่งถึง 4 ปีเต็มๆ"
หลังจากเป็นเจ้าของสถิติโลกอยู่ 3 เดือน ในที่สุดโอลิมปิกเกมส์ ที่ปักกิ่งก็เริ่มต้นขึ้น
โบลต์ลงแข่งขันสามรายการ คือ 100, 200 และ 4x100 เมตรชาย ณ เวลานี้เขามีอายุ 21 ปี ความมั่นใจพร้อม ร่างกายพร้อม ได้เวลาแล้วที่เขาจะล้างแค้นจากโอลิมปิกที่ล้มเหลวเมื่อ 4 ปีก่อน
ในช่วงนั้น โบลต์มีชื่อเสียงแล้ว แต่ยังไม่ได้ดังมากในระดับโลก เขาสามารถนอนพักอยู่ในหมู่บ้านนักกีฬาได้ตามปกติ
มีเรื่องโจ๊กของโบลต์ที่ปักกิ่ง คือเขาพยายามจะกินอาหารจีนในวันแรกๆ แต่ไปไม่รอด สุดท้ายต้องกินนักเกตส์ ของแม็คโดนัลด์ 3 มื้อ มื้อละ 15 ชิ้น ตลอดช่วงเวลาที่อยูในโอลิมปิก
ตามจริงแล้ว ในช่วงโอลิมปิกนักกีฬาหลายๆ คน จะเครียดหนักมาก ในช่วงก่อนแข่ง แต่โบลต์ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา เขาเล่าว่า "ในหมู่บ้านนักกีฬา เราเหมือนเด็กๆ มาเข้าค่ายลูกเสือ ทีมกรีฑาของเรา ไม่ยอมนอนกันจนดึก เพื่อคุยเรื่องนี้ เรื่องนั้น หัวเราะกันเฮฮา มีคืนหนึ่งที่โค้ชมิลส์ ที่อยู่ห้องข้างๆ เดินมาตะโกนใส่เราตอนตีสอง ว่า 'นอนได้แล้ว พวกแกเป็นเด็กมัธยมหรือไงเนี่ยะ!' "
2
การแข่งขันวิ่ง 100 เมตรชาย เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 15 สิงหาคม 2008
โบลต์อยู่ในฮีทแรกของรอบควอลิฟาย และวิ่งได้ 10.20 วินาที ผ่านเข้ารอบ แบบไม่มีปัญหา อันนี้เขายังไม่ได้วิ่งแบบเน้นมากด้วยซ้ำ
จากนั้นรอบควอเตอร์ไฟนอล โบลต์เร่งความเร็วขึ้นอีกนิด จบที่ 9.92 วินาที เข้ารอบได้สบายๆ
วันที่ 16 สิงหาคม เป็นการแข่งรอบเซมิไฟนอล โบลต์เข้าเส้นชัยที่ 9.85 วินาที เข้ารอบชิงได้ตามคาด โดยจะได้พักขาประมาณ 3 ชั่วโมง แล้วจะวิ่งลุยต่อทันทีในรอบ Final
ในช่วง 3 ชั่วโมงที่ได้พัก นักกีฬาคนอื่นๆ นั่งเงียบ และตั้งสมาธิ ไม่มีใครพูดกับใครเลย แต่โบลต์ นั่งคุยขำๆ กับนักแข่งกรีฑาประเภทอื่น เขาไม่มีความตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
จนเมื่อใกล้เวลาแข่งรอบไฟนอล โค้ชมิลส์พูดขึ้นมาว่า "โอเค ยูเซน ถึงเวลาแล้ว ไปกันเถอะ"
ในการวิ่ง 100 เมตรชายรอบชิงชนะเลิศ โบลต์คือเต็งหนึ่งแบบนอนมา เขาน่าจะได้เหรียญทองแน่ แต่คำถามคือ สถิติโลกที่ตัวเองสร้างไว้ 9.72 วินาทีที่นิวยอร์ก จะถูกทำลายลงอีกครั้งในวันนี้หรือไม่
ก่อนการวิ่งจะเริ่มขึ้น คำที่โค้ชมิลส์บอกย้ำกับโบลต์ คือ "อย่าไปสนตอนสตาร์ท มันไม่ใช่จุดแข็งของนายอยู่แล้ว อย่าไปกังวลเรื่องนี้มากเกินไป" สตาร์ทไม่ดีไม่เป็นไร อย่าใจเสีย อย่าลืมว่าตัวเองคือม้าตีนปลาย ที่พร้อมไล่แซงทุกคนในภายหลัง
เมื่อได้เวลา นักวิ่งทั้ง 8 คน เข้าประจำที่ จากนั้นก็ เตรียมตัว ... ระวัง และ .. ปัง
เสียงปืนดังขึ้นมา ทุกคนพุ่งทะยานพร้อมกัน
คนที่ออกนำไปก่อนใน 10 เมตรแรก คืออซาฟา พาวล์ (จาเมก้า) และ ริชาร์ด ธอมป์สัน (ตรินิแดด) ขณะที่โบลต์ อยู่อันดับ 7 เขาออกสตาร์ทได้ไม่ดีนัก อย่างที่คาดการณ์ไว้
แต่เมื่อตั้งหลักได้ โบลต์โชว์พลังความเร็วอันเหนือชั้น ฉีกหนีทุกคนหายวับ แค่ผ่าน 60 เมตรก็รู้ผลแล้วว่าใครจะได้เหรียญทอง
เมื่อถึงระยะ 80 เมตร โบลต์มองไปทางขวา ไม่มีใครไล่ตามมา เขาจึงกางแขนออก เพื่อวิ่งผ่านเส้นชัย แล้วเอามือตบหน้าอกด้วยความสะใจ
และเวลาบนสกอร์บอร์ดขึ้นมา เป็น 9.69 วินาที!
สถิติโลก และสถิติโอลิมปิกเกิดขึ้นพร้อมกัน โลกใบนี้ไม่มีใครวิ่งเร็วไปกว่ายูเซน โบลต์อีกแล้ว
ตัวโบลต์ยอมรับว่าเขาทำการโชว์เหนือ (Showboating) ในช่วง 20 เมตรสุดท้าย คือไม่ได้จะดูถูกคู่แข่ง แต่จังหวะนั้นมันเป็นไปตามอารมณ์ ก็เลยกางแขน แอ็กท่า ส่งผลให้ความเร็วลดลงไปนิดหนึ่งแบบไม่ได้ตั้งใจ
หลังวิ่งเสร็จ ในขณะที่ทั้งโลกกำลังตื่นตะลึงกับความเร็วดุจปีศาจ แต่โค้ชมิลส์กลับส่ายหัว แล้วตำหนิว่า "โบลต์ นายทำตัวเหมือนมือสมัครเล่นเลยนะ"
ความหมายของโค้ชมิลส์คือ ถ้าโบลต์เอาจริง 100% ไม่มีโชว์เหนือ มีโอกาสที่เวลาจะทะลุไปต่ำกว่า 9.5 ได้เลยด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นแค่ครั้งเดียวในชีวิตของมนุษย์บนโลก ที่เราจะได้เห็นเวลาในระดับ "9.4" ก็เป็นได้
แต่เอาล่ะ อย่างไรก็ตามชนะก็คือชนะ โบลต์คว้าเหรียญทองโอลิมปิก เหรียญแรกมาครองได้สำเร็จด้วยวัยแค่ 21 ปีเท่านั้น
วันรุ่งขึ้น หนังสือพิมพ์เดอะ ไทม์ส ของอังกฤษพาดหัวว่า "9.69 โดยที่เขายังไม่ได้เอาจริงด้วยซ้ำ"
หลังจากได้แชมป์ 100 เมตร โบลต์ลงแข่งต่อในระยะ 200 เมตรชาย โดยในรอบชิงเขาอยู่ลู่ 5
สถิติโลกของวิ่ง 200 เมตร ทำโดยไมเคิล จอห์นสัน ของสหรัฐฯ ในแอตแลนต้า 1996 ด้วยเวลา 19.32 วินาที จากนั้นมา 12 ปี ไม่เคยมีใครทำลายได้อีกเลย
ตัวโบลต์รู้ดีว่า เขาจะเล่นโชว์เหนือแบบคราวก่อนไม่ได้แล้ว ต้องวิ่งให้สมบูรณ์จริงๆ ถึงจะมีลุ้นทำลายสถิติโลกของจอห์นสันได้
200 เมตร คือระยะที่โบลต์ถนัดที่สุด เรื่องเหรียญทองไม่ต้องห่วง ได้อยู่แล้ว แต่เขาต้องการทำลายสถิติโลกให้ได้ จึงตั้งใจวิ่งอย่างมาก ไม่ให้พลาดแม้แต่จุดเดียว
และสุดท้าย สามารถเข้าเส้นชัยด้วยเวลา 19.30 วินาที ทำลายสถิติโลก สองอีเวนต์ติดต่อกัน
จากนั้น ก็สู่การวิ่งระยะที่ 3 นั่นคือ 4x100 ทีมชาติจาเมก้า 4 คน ประกอบไปด้วย ไม้ 1 เนสต้า คาร์เตอร์, ไม้ 2 ไมเคิล เฟรเตอร์, ไม้ 3 ยูเซน โบลต์ และ ไม้ 4 อซาฟา พาวล์ สามารถเข้าเส้นชัยได้สำเร็จด้วยเวลา 37.10 ทำลายสถิติโลกได้ สามรายการซ้อน
1
แต่เรื่องเศร้าของโบลต์ก็คือ ในภายหลัง เนสต้า คาร์เตอร์ ถูกตรวจพบว่าใช้สารต้องห้าม ทำให้จาเมก้าโดนริบเหรียญทอง และสถิติโลกครั้งนี้ จึงไม่ถูกนับอย่างน่าเสียดาย
1
อย่างไรก็ตาม แค่ 2 เหรียญทองที่โบลต์ทำได้ พร้อมกับทำลายสถิติโลกพร้อมกัน ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว เพราะไม่มีใครในโลก ที่สามารถทำได้แบบนี้
ปัจจุบัน สถิติโลกของวิ่ง 100 เมตร ยังเป็นของโบลต์ คือ 9.58 วินาที
ส่วนสถิติโลก 200 เมตร ก็เป็นของโบลต์เช่นกัน คือ 19.19 วินาที ทั้งสองสถิติทำได้ในกรีฑาชิงแชมป์โลกที่เบอร์ลิน ในปี 2009
จนถึงวันนี้ผ่านมาแล้ว 15 ปี ยังไม่มีใครทำได้ใกล้เคียง โบลต์ยังคงยืนหนึ่งเป็นเจ้าของสถิติต่อไปอยู่แบบนั้น แม้จะรีไทร์จากการวิ่งไปแล้วก็ตาม
จริงๆ เคยมีคนสงสัยว่า โบลต์วิ่งเร็วราวกับสายฟ้าฟาดขนาดนั้น มีการใช้สารกระตุ้นอะไรหรือเปล่า
แต่เรื่องนี้ องค์กรต่อต้านสารกระตุ้นโลก (WADA) ตรวจร่างกายของโบลต์อย่างละเอียดแล้ว และไม่พบสารต้องห้ามแม้แต่นิดเดียว
ในปี 2012 โบลต์ถูกตรวจสารกระตุ้นทั้งปี 25 ครั้ง ทดสอบกันด้วยสารพัดวิธี แต่ก็ไม่มีใครเอาผิดได้ คือโบลต์นั้น Clean อย่างหมดจดมากๆ
2
นั่นแปลว่าชัยชนะของเขา มาจากพลังร่างกาย และเทคนิคในการวิ่งที่เรียนรู้จากการร่วมงานกับโค้ชมิลส์นั่นเอง
หลังจบโอลิมปิกที่ปักกิ่ง ชื่อของโบลต์ ก็กลายเป็นไอคอนของโลกใบนี้ ไม่มีใครที่ดูกีฬา แล้วจะไม่รู้จักเขาอีกต่อไป
จากคนที่ล้มเหลวจนหมดท่าในเอเธนส์เกมส์ แต่พริบตาเดียวเมื่อทุกอย่างคลิก โบลต์ก็ชนะทุกสิ่งทุกอย่าง
พร้อมกับได้รับฉายา "the fastest man on earth" หรือ มนุษย์ที่เร็วที่สุดในโลก ตราบจนถึงทุกวันนี้
โฆษณา