19 ส.ค. 2024 เวลา 10:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เคล็ดลับ สร้าง Passive income กลยุทธ์ลงทุนสำหรับคุณแม่มือใหม่

เปิดเคล็ดลับ สร้าง Passive income กลยุทธ์ลงทุนสำหรับคุณแม่มือใหม่ สร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว
นายฐิติเมธ โภคชัย ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แชร์ทริคสำหรับคุณแม่มือใหม่ ที่นอกจากการดูแลครอบครัวแล้วเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวการลงทุนจึงเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดที่ตัดสินใจนำเงินออกมาลงทุน คุณแม่ต้องรู้จักความเสี่ยงก่อน คือ
ความเสี่ยงจากตลาด ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดโดยรวม เช่น เศรษฐกิจตกต่ำ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ หรือโรคระบาด ซึ่งส่งผลกระทบต่อการลงทุนเกือบทุกประเภท เช่น ช่วง COVID-19 ราคาหุ้นมักจะปรับลดลงพร้อมๆกัน
กลยุทธ์ลงทุนสำหรับคุณแม่มือใหม่
ความเสี่ยงเฉพาะตัว เกิดกับบริษัทใดบริษัทหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น ผู้บริหารทุจริต สินค้าไม่เป็นที่นิยม หรือคู่แข่งมีความได้เปรียบในการแข่งขันมากกว่า ซึ่งจะส่งผลต่อราคาหุ้นของบริษัทนั้น ๆ โดยตรง
ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย ส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น ส่งผลให้ราคาตราสารหนี้เพิ่มขึ้นหรือลดลง ตามปกติแล้วอัตราดอกเบี้ยจะเป็นไปในทิศทางตรงข้ามกับราคาตราสารหนี้ หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ราคาตราสารหนี้จะลดลง และหากอัตราดอกเบี้ยในตลาดมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ราคาตราสารหนี้จะเพิ่มขึ้น หากต้องการขายก็มีโอกาสได้รับเงินสูงกว่ามูลค่าเงินลงทุนได้
ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน “ค่าเงินบาท” เป็นปัจจัยหนึ่งที่ควรนำมาประเมินก่อนตัดสินใจลงทุน เพราะถ้าเงินบาทแข็งค่าหรืออ่อนค่าจะส่งผลให้กลยุทธ์การลงทุนแตกต่างกัน เนื่องจากค่าเงินบาทอาจมีผลกระทบต่อยอดขาย ต้นทุน และกำไรสุทธิของหุ้นตัวนั้น ดังนั้น หากเลือกหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์และสอดคล้องกับค่าเงินบาทในช่วงนั้น ย่อมสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อพอร์ตลงทุนโดยรวม
ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง เป็นความเสี่ยงที่อาจไม่สามารถขายสินทรัพย์ที่ลงทุนได้ทันทีที่ต้องการ หรือขายได้แต่ราคาไม่ดี เช่น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะขายได้
และเมื่อรู้จักความเสี่ยงแล้วให้ประเมินความเสี่ยงที่ตัวเรายอมรับได้เพื่อเลือกการลงทุนที่เหมาะสม การประเมินความเสี่ยงด้วยตัวเอง เช่น หากเงินลงทุนของพอร์ตลดลง 20% ในหนึ่งปี จะรู้สึกอย่างไร หากคิดแล้วนอนไม่หลับ แสดงว่ารับความเสี่ยงได้ต่ำ ควรเลือกการลงทุนที่มีความผันผวนต่ำ หรือมีภาระทางการเงินอะไรบ้าง หากมีภาระมาก เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ก็ควรระมัดระวังในการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง และมีเวลาลงทุนนานแค่ไหน หากมีเวลาลงทุนนานก็สามารถรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพราะมีเวลาให้การลงทุนฟื้นตัวหากเกิดความผันผวน
เลือกสินทรัพย์ลงทุน
กองทุนรวม เปรียบเสมือนการไปช้อปปิ้งแบบมีสไตลิสต์ส่วนตัว คุณแม่รู้สึกว่าต้องการแต่งตัวสวย ๆ แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร การลงทุนในกองทุนรวมก็คล้าย ๆ กัน เหมือนคุณมีสไตลิสต์มืออาชีพคอยช่วยเลือกเสื้อผ้าให้ แต่ในที่นี้ คือ ผู้จัดการกองทุนที่จะช่วยเลือกหุ้นหรือตราสารทางการเงินต่างๆ ให้
โดยข้อดี คือ เลือกกองทุนที่เหมาะกับสไตล์การลงทุนของตัวเอง เช่น ชอบความเสี่ยงต่ำก็เลือกกองทุนตราสารหนี้ รับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้นก็เลือกกองทุนผสม กองทุนหุ้น หรือลงทุนกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนต่างประเทศ ที่สำคัญสามารถเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนไม่มากนัก แต่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
หุ้นปันผล เหมาะกับนักลงทุนระยะยาว เนื่องจากหุ้นที่พื้นฐานธุรกิจดีมีอนาคตเติบโตอย่างต่อเนื่อง ควรมีช่วงระยะเวลาเพียงพอที่จะรอให้กิจการเติบโต และรอเก็บผลตอบแทนจากเงินปันผลในอนาคต นอกจากนี้ ยังเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่อง เนื่องจากเงินปันผลที่นักลงทุนได้รับจะช่วยสร้างสภาพคล่องระหว่างการถือหุ้นของนักลงทุนและให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอเป็นเงินสดทุก ๆ ปีในรูปแบบ Passive Income
ตราสารหนี้ เป็นอีกทางเลือกลงทุนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะสภาวะตลาดที่ผันผวน เพราะโดยปกติราคาและผลตอบแทนจากตราสารหนี้จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับหุ้น หากมีหุ้นอยู่ในพอร์ตลงทุน และต้องการกระจายความเสี่ยง ลดความผันผวนของผลตอบแทนให้กับพอร์ตโดยรวมตราสารหนี้จะเป็นตัวช่วยชั้นดี เนื่องจากมีความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนสม่ำเสมอ และมีช่องทางให้เลือกลงทุนหลากหลาย ทั้งทางตรงผ่านการซื้อขายในตลาดแรกจากผู้ออกตราสารหนี้ และซื้อขายเปลี่ยนมือผ่านตลาดรอง ผ่านการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้
กระจายความเสี่ยงในการลงทุน หากนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในสินทรัพย์เดียว เช่น หุ้นบริษัทเดียว หรือกองทุนรวมกองเดียว อาจมีความเสี่ยงมากเกินไป แต่หากกระจายเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เช่น หุ้น, ตราสารหนี้, กองทุนรวม, ทองคำ, อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น โอกาสที่จะสูญเสียเงินทั้งหมดก็ลดลง ขณะเดียวกันก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มมากขึ้น
ตัวอย่าง คุณแม่มีเงิน 100,000 บาท อาจลองแบ่งเงินลงทุน ดังนี้
- 40,000 บาท (40%) ลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวมหุ้น
- 30,000 บาท (30%) ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือกองทุนรวมตราสารหนี้
- 20,000 บาท (20%) ลงทุนในกอง REITs และทองคำ
- 10,000 บาท (10%) เก็บไว้เป็นเงินสดหรือเงินฝากประจำ
การแบ่งเงินลงทุนเรียกว่า “การจัดสรรสินทรัพย์” จะช่วยให้คุณแม่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดี และไม่เสี่ยงมากเกินไป อย่างไรก็ตาม ทุกคนมีความเสี่ยงที่รับได้ไม่เท่ากัน บางคนชอบความตื่นเต้นก็อาจเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมากขึ้น แต่บางคนชอบความมั่นคงก็เพิ่มสัดส่วนในพันธบัตรหรือเงินฝากมากขึ้น
การติดตามผลและปรับปรุงพอร์ตการลงทุน
เมื่อคุณแม่ลงทุนไปสักระยะหนึ่ง สถานการณ์ ภาวะตลาดการลงทุนและราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ อาจเปลี่ยนแปลง และทำให้น้ำหนักของสินทรัพย์บางตัวมากเกินไปหรือน้อยเกินไป เช่น หากปีนี้หุ้นสร้างผลตอบแทนได้ดี สัดส่วนของหุ้นในพอร์ตลงทุนก็จะเพิ่มขึ้นโดยปริยาย และหากในปีถัดไปตลาดหุ้นปรับลดลงอย่างหนัก พอร์ตลงทุนที่มีหุ้นเป็นสัดส่วนที่มากก็มีโอกาสที่จะขาดทุนมาก
จึงควรทบทวนพอร์ตลงทุนทุก 6 เดือน หรือ 1 ปี ว่าเป็นไปตามเป้าหมายการลงทุนที่กำหนดไว้ตอนต้นหรือไม่ หากไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ จะได้ปรับพอร์ตลงทุนได้ทันท่วงที แต่อย่าปรับพอร์ตบ่อยจนเกินไป เพราะอาจทำให้พอร์ตไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างที่ควรจะเป็น
ข้อควรระวังและข้อผิดพลาดที่พบบ่อย
ในบางครั้งคุณแม่อาจเห็นคนอื่นรวยจากหุ้นตัวนั้น กองทุนรวมนี้ ก็รีบกระโดดเข้าไปลงทุนตามคนอื่นบ้าง แต่นี่เป็นกับดักชั้นดีและอาจทำให้ขาดทุน ดังนั้น ควรดูว่าสินทรัพย์ลงทุนนั้น ๆ เหมาะกับตัวเองหรือไม่ นอกจากนี้เรื่องการหลอกลวงหรือชักชวนลงทุนก็ต้องระมัดระวัง เพราะหากใครมาบอกว่าลงทุนแล้วรวยเร็ว
ได้ผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงต่ำ ให้ถือว่าเป็นสัญญาณอันตราย พูดง่าย ๆ การลงทุนที่ดีต้องเริ่มจากความเข้าใจ ไม่ใช่แค่ลงทุนตามคนอื่น หรือหวังรวยทางลัด ค่อย ๆ เรียนรู้และเริ่มลงทุน แล้วคุณแม่จะเห็นเงินงอกเงยอย่างมั่นคงแน่นอน
ที่มา : setinvestnow
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : https://www.pptvhd36.com/wealth/trick-trend/230650
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา