23 ส.ค. เวลา 12:12 • การศึกษา

เข้าใจ vs เข้าถึง ไม่เหมือนกัน?

เคยเป็นไหมเวลาเราตั้งใจว่าจะไม่โกรธ แต่พอถึงเวลาจริงกับโกรธ
เคยเป็นไหมเวลาเราคิดจะลุกไปทำงานแต่เช้า แต่พอถึงเวลาจริงๆกลับถูกเตียงดูด
เคยเป็นไหม เราคิดว่าจะทำงานให้เสร็จทันเวลา แต่เอาเข้าจริงๆกับผัดวันประกันพรุ่ง
ทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้คงเคยได้อ่านโทษเกี่ยวกับความโกรธ ความขี้เกียจและการผัดวันประกันพรุ่งกันมาบ้างแล้ว พวกเราต่างรู้ข้อเสียของพฤติกรรมเหล่านี้ดี แต่ถึงกระนั้นพวกเราก็ยังแก้ไขพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้ นั่นเป็นเพราะเรา "เข้าใจ" ในเชิงตักกะ แต่ไม่ได้ "เข้าถึง" มันจริงๆ ขอยกตัวอย่างง่ายๆ
ชายคนหนึ่งไม่เคยกินมะนาวมาก่อนในชีวิต แต่เคยอ่านเจอว่ามะนาวมีรสเปรี้ยว เวลากินเข้าไปจะรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว น้ำลายจะไหล เราจะรู้สึกทนไม่ได้ อันนี้เรียกว่าเข้าใจในเชิงตักกะ
หากชายคนนี้ได้ลองกินมะนาวจริงๆ ลิ้นของเขาสัมผัสได้ถึงรสชาติของมะนาวจริงๆ นี่ถึงเรียกว่าการเข้าถึง
เรายังมีตัวอย่างอีกหลายอัน
กบเป็นสัตว์กินแมลง โดยปกติกบที่ไม่เคยเจอผึ้งมาก่อน น้องจะใช้ลิ้นฮุบเอาผึ้งเข้ามาในปาก จากนั้นกบก็จะถูกผึ้งต่อย ซึ่งความเจ็บปวดนั้นพวกเรารู้กันดี ด้วยเหตุนี้กบจึงเรียนรู้ว่า ไม่ควรจะกินผึ้งเพราะจะถูกต่อย นั่นทำให้กบที่เคยกินผึ้งมาก่อน จะไม่กินผึ้งอีกเป็นครั้งที่สอง นี่เรียกว่าการเข้าถึง
เช่นกัน มนุษย์ที่ไม่เคยเจอกับไฟย่อมไม่กลัวไฟ แต่เมื่อได้สัมผัสความร้อนของไฟด้วยมือตัวเอง เขาจะไม่กล้าแตะต้องไฟด้วยมือเปล่าอีกเลย นี่ก็เป็นการเข้าถึงไม่ใช่การเข้าใจ
สองตัวอย่างสุดท้ายนั้นเป็นอันตรายร้ายแรงซึ่งส่งผลต่อชีวิตโดยตรง กบโดนผึ้งต่อย หากไม่เรียนรู้มันก็อาจจะโดยต่อยตายได้ คนโดยไฟเผาก็ไม่มีทางรอด อันตรายเหล่านี้ทำให้เรา "เข้าถึง" มันได้อย่างง่ายดาย
แต่ความโกรธ ความขี้เกียจและการผัดวันประกันพรุ่ง ไม่ได้ทำให้เราตายในทันที แต่มันจะทำให้เราตายอย่างช้าๆ ซึ่งน่ากลัวกว่ากันเยอะ เพราะกว่าเราจะรู้ตัวเราก็ตายเพราะมันซะแล้ว
หากคุณเป็นคนขี้โกรธ คุณก็มีสิทธิทะเลาะกับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานเยอะขึ้น หากหนักหน่อยก็เผลอลงมือกับคนในที่ทำงานจนถูกไล่ออกได้
หากคุณเป็นคนขี้เกียจ คุณก็จะทำทุกอย่างช้าไปหมด ใช้ชีวิตก็รู้สึกหมดพลังง่าย ไม่อยากพัฒนาตัวเอง และในโลกปัจจุบันที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงรวดเร็วไปเสียหมด ไม่นานคุณก็จะตกกงานเพราะขาดทักษะยุคใหม่ หรือบางทีนายจ้างอาจจะไล่คุณออกเพราะความขี้เกียจของคุณก็ได้
หากคุณผัดวันประกันพรุ่ง คุณก็จะมีงานค้างเยอะ พอมันสะสมมากๆ ก็กลายเป็นดินพอกหางหมู สุดท้ายคุณอาจทำงานไม่ทัน จากน้นหัวหน้าก็จะบ่น ถ้าหนักหน่อยคุณอาจตกงานก็ได้
อ่านมาถึงตรงนี้คุณคงเข้าใจแล้วว่าความโกรธ ความขี้เกียจและการผัดวันประกันพรุ่งมันมีข้อเสียอย่างไร แต่นี่มันก็แค่ "ความเข้าใจ" ไม่ใช่การเข้าถึง พอคุณปิดพบความนี้ไป คุณก็จะกลับมามีพฤติกรรมแบบนี้เหมือนเดิม ดังนั้นผมจะบอกวิธีให้คุณเปลี่ยน "ความเข้าใจ" เป็น "การเข้าถึง" แบบจับมือทำเลย
ก่อนจะเข้าเนื้อหา ผมอยากให้ทุกคนทำความเข้าใจข้อเท็จจริงตรงนี้
ภัยคุกคามที่ไม่ทำให้เราตายทันที ร่างกายของเราจะไม่ต่อต้านมัน แต่หากเราเรียนรู้ภัยคุกคามนี้แบบย้ำๆซ้ำๆ ร่างกายของเรามันจะตระหนักถึงภัยคุกคามนี้ได้อย่างแท้จริง
หากอารมณ์ความโกรธ ความขี้เกียจและการผัดวันประกันพรุ่งเกิดขึ้น ให้เราทักมันตรงว่า
นี่คือความโกรธ (หรืออื่นๆ) ความโกรธกำลังเกิดขึ้นกับจิต จิตกำลังมีความโกรธเกิดขึ้น ความโกรธกำลังปรุงแต่จิต จิตกำลังถูกความโกรธปรุงแต่งอยู่
ให้ทักแบบนี้ย้ำๆซ้ำๆจนกว่าอารมณ์นั้นๆจะดับไป เมื่อเราเห็นอารมณ์เกิดดับบ่อยๆ สติเราจะแข็งแรงมากขึ้น ถ้าฝึกไปเรื่อยๆจนถึงจุดๆหนึ่ง อารมณ์นั้นๆจะดับเร็วขึ้นจนทุกคนแปลกใจเลยล่ะ เมื่อทำได้อย่างนี้บ่อยๆ จิตเราก็จะ "เข้าถึง" เองว่าอารมร์และพฤติกรรมเหล่านี้ เป็นอันตรายต่อเราขนาดไหน เมื่อนั้นเราจะเลิกพฤติกรรมเหล่านี้ได้อย่างเด็ดขาดเลยล่ะ
โฆษณา