23 ส.ค. เวลา 13:31 • ปรัชญา
เมื่อครั้งที่อยู่อนุบาล ไปเห็นคนตาย ..รู้สึกใจมันสั่นระริก เหมือนว่า คนเรามันตายได้หรือ .พอช่วงวัยรุ่น ก็มีเรื่องราวที่อยากรู้จักว่า ..คำว่าชีวิตมันคืออะไรกันแน่ พอมาเจอะพระ เราก็ค่อยทำความความเข้ามากขึ้น ชีวิตของเรามันเหมือนกันคำที่ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม มีกรรมเป็นของตนเอง เราก็มีกรรมเกิดมากก็มีกาย
เมื่อมีกายก็เหมือนถูกบังคับต้องมีภาระ ต้องทำม่าหากิน ต้องมีใช้อารมณ์กรรมต่างๆ มากมายก่ายกอง สะสมกรรมเข้ามาภายในจิต เราก็ค่อยเรียนรู้ขึ้นมา จากการที่ได้สนทนากับพระบ้าง ประพฤติงูๆปลาๆ ไม่ค่อยได้เรื่องราวอะไร
แต่ก็พยายามที่จะทำ ..พอได้เข้าใจเรื่องของการสะสมกรรม เรื่องที๋วิญญาณทั้งหมดที่เราใช้นั้น ..มีการบันทึกกรรมลงไปที่ธาตุทั้งสี่ตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็ไม่เคยคิด ..ไม่รู้ว่าจะเอากรรมที่สะสมกับธาตุทั้งนี้นี้ออกไปอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะให้กรรมนั่นมันลดน้อยถอยลงไป จากธาตุทั้งสี่ เราก็เลยต้องพยายามหาทาง สละเวลาอยู่กับโลก สละเวลามาเป็นเวลาของธรรม เพื่อสร้างบุญกุศลให้แก่จิตของตัว .เพราะเมื่อเราจากโลกนี้ไป เราก็ต้องไปตัวคนเดียว ไม่ใครตามไปด้วย วัตถุปัจจัยที่เสาร์มาก็
เอาไปได้ ..เราก็ค่อยได้เรียนรู้เรื่องจิตที่ไม่มีบุญกุศลเลย จิตที่ออกจากกายไป แล้วมีการเปลี่ยนแปลงรูปที่อาศัยขึ้นมา เป็นรูปตัวสูงๆแบบต้นตาล มัอ้อ..นี่หรือ ที่เค้าเรียกว่า เปรต นั่นก็เป็นเรื่องราวที่เราพอได้เห็นลางว่า ชีวิตเมื่อมีกาย เราก็ทำหาหากินไป แต่เราก็แบ่งปันเวลา มาสร้างบุญกุศล ให้ธาตุทั้งสี่ที่เราอาศัย ได้บันทึกว่า มีกายมนุษย์ เราก็ใช้กายนี้มาสร้างบุญกุศล ไม่ได้นำไปสร้างกรรมทำมาหากินนอนจมอยู่กับโลกอย่างเดียว
เพราะเราเองก็ไม่รู้ว่า มันจะหมดลมตอนไหน เพราะฉะนั้นเมื่อยังมีลมอยู่เราก็สร้างบุญกุศลสะสมไป..ก็แบ่งเวลาทำไปเรื่อยๆ ..เพราะกลัวจิตจะตกอบายเมื่อไม่มีกาย
โฆษณา